ประวัติศาสตร์ไทยสมัยก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 (ก่อนสมัยสุโขทัย)
ประวัติความเป็นมาของชนชาติไทย
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
รัฐโบราณในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้: ฟูนัน-สุวรรณภูมิ
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
33%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
33%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
รัฐโบราณในบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา: ทวารวดี (อู่ทอง นครปฐม และละโว้)
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
33%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
67%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
รัฐโบราณในบริเวณภาคใต้ของไทย: ลังกาสุกะ ตักโกละ ตามพรลิงค์ และศรีวิชัย
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
รัฐโบราณในบริเวณภาคเหนือของไทย: โยนกเชียงแสน และหริภุญชัย
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
33%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
ประวัติศาสตร์ไทยสมัยหลังพุทธศตวรรษที่ 19 (สมัยการสถาปนาราชธานีของอาณาจักรไทย)
กรุงสุโขทัย
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
33%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กรุงศรีอยุธยา
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
67%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
33%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กรุงธนบุรี
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กรุงรัตนโกสินทร์ ช่วงรัชกาลที่ 1-3
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
33%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กรุงรัตนโกสินทร์ ช่วงรัชกาลที่ 4-5
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
100%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กรุงรัตนโกสินทร์ ช่วงรัชกาลที่ 6-8
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
33%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กรุงรัตนโกสินทร์ ช่วงรัชกาลที่ 9
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
67%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
100%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
บุคคลสำคัญกับการสร้างสรรค์วัฒนธรรมไทย
บุคคลสำคัญในช่วงก่อนกรุงรัตนโกสินทร์
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
บุคคลสำคัญในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ 1
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
บุคคลสำคัญในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ 2
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
บุคคลสำคัญในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ 3
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
บุคคลสำคัญในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ 4
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
บุคคลสำคัญในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ 5
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย

บุคคลสำคัญในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ 5

ยอดวิว 0

แบบฝึกหัด

EASY

บุคคลสำคัญในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ 5 (ชุดที่ 1)

HARD

บุคคลสำคัญในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ 5 (ชุดที่ 2)

news

บุคคลสำคัญในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ 5

เนื้อหา

สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์
(ช่วง บุนนาค)

        สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เป็นบุตรชายคนโตของสมเด็จเจ้าพระยามหาประยูรวงศ์ (ดิศ) กับท่านผู้หญิงจันทร์ เกิดเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2351 ในวัยเด็กได้รับการศึกษาจากวัด เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นในสมัยรัชกาลที่ 2 บิดาซึ่งขณะนั้นเป็นพระยาพระคลังนำไปถวายตัวเป็นมหาดเล็กและทำงานด้านพระคลังและกรมท่าอยู่กับบิดา ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้รับราชการจนมีความชอบมากได้เลื่อนบรรดาศักดิ์มาตามลำดับขึ้นเป็นจหมื่นไวยวรนาถใน พ.ศ. 2384 และเป็นพระยาศรีสุริยวงศ์ในตอนปลายรัชกาล ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ 4 ได้เลื่อนขึ้นเป็นเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ว่าที่สมุหพระกลาโหม

        เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์เป็นผู้ฝักใฝ่สนใจศึกษาศิลปวิทยาของชาวตะวันตก เนื่องจากมีความคุ้นเคยกับชาวต่างประเทศมาก โดยเฉพาะมิชชันนารีอเมริกันที่เข้ามาอยู่ในสยาม การที่ได้คบหาสมาคมกับมิชชันนารีนี้ ทำให้ท่านได้มีโอกาสศึกษาภาษาอังกฤษ และรู้ขนบธรรมเนียมของชาวตะวันตก รวมทั้งท่านกับบิดายังได้คอยช่วยเหลือสนับสนุนพวกมิชชั่นนารีที่เข้ามาสมัยรัชกาลที่ 3 เพื่อให้เกิดการเผยแพร่วิทยาการและเทคโนโลยีสมัยใหม่ออกไป

        วิทยาการที่สำคัญ เช่น การต่อเรือกำปั่น เริ่มต้นเมื่อครั้งที่เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ครั้งเป็นหลวงสิทธิ์นายเวรในสมัยรัชกาลที่ 3 เป็นผู้มีความสามารถในการต่อเรือโดยศึกษาจาก มิชชันนารี ในขณะที่ติดตามบิดาไปอยู่ที่เมืองจันทบุรี หลวงสิทธิ์นายเวรได้ต่อเรือรบไทย (เรือกำปั่นรบ) ซึ่งเป็นเรือใหญ่ลำแรกในประเทศสยามที่ทำตามแบบฝรั่งตั้งชื่อเรือลำนี้ว่า เรือ “เอเรียล” (Ariel) หรือมีชื่อทางไทยว่าเรือ “แกล้วกลางสมุทร”

        ต่อมาเมื่อสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรียแห่งประเทศอังกฤษทรงแต่งตั้งเซอร์จอห์น เบาว์ริง (Sir John Bowring) ผู้สำเร็จราชการประจำฮ่องกง เป็นราชทูตมาขอแก้ไขสนธิสัญญาเบอร์นี เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ได้รับมอบหมายจากรัชกาลที่ 4 ให้เป็นผู้หนึ่งในคณะข้าหลวงดำเนินการเจรจากับอังกฤษ เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์มีบทบาทเป็นผู้ประสานการเจรจาระหว่างทูตอังกฤษทำให้การทำสนธิสัญญาเบาว์ริงลุล่วงได้ด้วยดีและต่อมา ท่านได้เป็นผู้แทนฝ่ายสยามในการทำสนธิสัญญาในลักษณะเดียวกันกับนานาประเทศ

        ภายหลังที่สยามทำสนธิสัญญากับนานาประเทศแล้ว เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์สนับสนุนให้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงส่งคณะทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับอังกฤษและฝรั่งเศสตามลำดับ นับเป็นการเริ่มต้นทางการทูตระหว่างสยามกับมหาอำนาจตะวันตกเป็นครั้งแรกในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์

        ครั้นเมื่อรัชกาลที่ 4 สวรรคตในปี พ.ศ. 2411 ที่ประชุมเสนาบดีและพระบรมวงศานุวงศ์ ได้อัญเชิญเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ขึ้นเสวยราชย์เป็นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและเชิญเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน โดยมีมติเป็นเอกฉันท์

        นับเป็นครั้งแรกในสมัยรัตนโกสินทร์ที่พระมหากษัตริย์ขึ้นเสวยราชย์ขณะมีพระชนมายุเพียง 15 พรรษา และมีผู้ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดินเป็นผู้ใช้อำนาจแทน จึงมีผู้หวั่นเกรงว่าอาจมีการชิงราชสมบัติดั่งเช่นที่พระยาพระกลาโหมกระทำในสมัยอยุธยา แต่เหตุการณ์เช่นนั้นก็มิได้เกิดขึ้น เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ได้บริหารราชการมาด้วยความเรียบร้อย พร้อมกันนั้นก็ได้จัดให้รัชกาลที่ 5 ทรงได้รับการฝึกหัดการเป็นพระมหากษัตริย์ตามโบราณราชประเพณี และให้ทรงเรียนรู้ศิลปวิทยาสมัยใหม่ควบคู่ไปด้วย นอกจากนั้นยังจัดให้เสด็จประพาสสิงคโปร์และชวาในปี พ.ศ. 2413 อินเดียและพม่าในปี พ.ศ. 2415 เพื่อทอดพระเนตรแบบแผนการปกครอง ขนบธรรมเนียมประเพณี ความเจริญของประเทศที่อยู่ในความปกครองของประเทศตะวันตก ซึ่งรัชกาลที่ 5 ได้ทรงนำเป็นแบบอย่างที่เหมาะสมมาปรับปรุงประเทศให้เจริญก้าวหน้าในเวลาต่อมา

        เมื่อรัชกาลที่ 5 ทรงบรรลุนิติภาวะในปี พ.ศ. 2416 ได้มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งแสดงว่าจะทรงว่าราชการบ้านเมืองเอง ในพระราชพิธีครั้งนี้โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนบรรดาศักดิ์เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์เป็นสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ แม้สมเด็จเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์จะพ้นจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแล้ว แต่ก็คงทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดินต่อมา จนถึงแกพิราลัยใน พ.ศ. 2425 รวมอายุได้ 74 ปี


ศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์

        ศาสตราจารย์ ดร. ปรีดี พนมยงค์ หรือ อำมาตย์ตรี หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (พ.ศ. 2443 –2526) เป็นบุตรของนายเสียง และนางลูกจันทร์ พนมยงค์ ซึ่งมีอาชีพทำนาอยู่ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ท่านได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม และสอบไล่วิชากฎหมายขั้นเนติบัณฑิตได้ และได้ทุนจากกระทรวงยุติธรรมให้ไปศึกษาวิชากฎหมายที่ประเทศฝรั่งเศส จนกระทั่งจบการศึกษาระดับปริญญาเอก ด้านนิติศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยปารีส

        เมื่อสำเร็จการศึกษาและเดินทางกลับประเทศไทย ขณะมีอายุได้ 26 ปี นายปรีดี พนมยงค์ ได้เข้ารับราชการเป็นผู้พิพากษาในกระทรวงยุติธรรม เมื่อปี พ.ศ. 2470 แล้วย้ายไปเป็นเลขานุการกรมร่างกฎหมาย และเป็นอาจารย์สอนกฎหมายปกครองในโรงเรียนกฎหมาย จนกระทั่งได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “อำมาตย์ตรีหลวงประดิษฐ์มนูธรรม” เมื่อปี พ.ศ. 2472 ต่อมาในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้มีการยกเลิกบรรดาศักดิ์ จึงลาออกจากบรรดาศักดิ์ และใช้นามปรีดี พนมยงค์ นับแต่นั้นมา

        ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นายปรีดีเป็นผู้นำขบวนการเสรีไทยต่อต้านกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น ทำให้ประเทศไทยรอดพ้นจากการเป็นผู้แพ้สงคราม นอกจากนี้ยังได้รับแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในรัชกาลที่ 8 และได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯยกย่องในฐานะ “รัฐบุรุษอาวุโส” ถือเป็นรัฐบุรุษอาวุโสคนแรกของประเทศไทย เนื่องจากเป็นผู้นำในการกอบกู้บ้านเมืองในยามคับขัน เป็นผู้ที่มีคุณูปการทำงานอันเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ ทั้งในทางการเมือง การปกครอง การต่างประเทศ การเศรษฐกิจ และการศึกษา ฯลฯ

        เหตุการณ์สำคัญทางด้านการเมืองการปกครองภายในประเทศที่เกี่ยวข้องกับนายปรีดี พนมยงค์ ครั้งสำคัญเกิดขึ้นเมื่อคราวที่ท่านอยู่ในประเทศฝรั่งเศส ได้ร่วมกับเพื่อนอีก 6 คน ประชุมอย่างเป็นทางการครั้งแรกเพื่อก่อตั้ง “คณะราษฎร” เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2469 ณ หอพักแห่งหนึ่งย่าน “Rue Du Sommerard” กรุงปารีส ผู้ร่วมประชุมประกอบด้วย ร.ท.ประยูร ภมรมนตรี, ร.ท.แปลก ขีตตะสังคะ, ร.ต.ทัศนัย มิตรภักดี, ภก. ตั้ว ลพานุกรม, หลวงสิริราชไมตรี (จรูญ สิงหเสนี), นายแนบ พหลโยธิน โดยมีวัตถุประสงค์คือ เปลี่ยนการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ และดำเนินการเพื่อให้สยามบรรลุหลัก 6 ประการ

        ต่อมาในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 นายปรีดีร่วมกับสมาชิกคณะราษฎรที่ประกอบด้วยกลุ่มทหารบก ทหารเรือ และพลเรือน ยึดอำนาจการปกครองประเทศจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองของสยามได้สำเร็จโดยไม่มีการเสียเลือดเนื้อ โดยเป็นผู้นำคณะราษฎรสายพลเรือน

        ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองนายปรีดี พนมยงค์ ถือเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการจัดวางรูปแบบการปกครองในระบอบใหม่ เป็นผู้ให้กำเนิดรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศ โดยเป็นผู้ร่างพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 ที่ประกาศใช้เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475 พร้อมกันนั้นยังมีบทบาทสำคัญในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 ซึ่งถือเป็นรัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรกของสยามที่ใช้เป็นบรรทัดฐานของการปกครองในระบอบใหม่

        ในขณะเดียวกันนายปรีดีได้รับแต่งตั้งจากสภาผู้แทนราษฎรให้เป็นเลขาธิการคนแรกของสภาผู้แทนราษฎรสยาม ด้วยตำแหน่งดังกล่าว ทำให้เขามีบทบาทด้านนิติบัญญัติในการวางหลักสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคให้แก่ราษฎร โดยเป็นผู้ยกร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งฉบับแรก และเป็นผู้ริเริ่มให้สตรีมีสิทธิ์ในการออกเสียงเลือกตั้งและสมัครรับเลือกตั้งผู้แทนราษฎรได้เช่นเดียวกับเพศชาย และจากการที่ได้ไปศึกษาในประเทศฝรั่งเศส นายปรีดีจึงสนับสนุนแนวคิดเรื่องศาลปกครอง และก็เป็นผู้นำเอาวิชา “กฎหมายปกครอง” มาสอนเป็นคนแรก ณ โรงเรียนกฎหมายกระทรวงยุติธรรม แนวคิดดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความต้องการให้ราษฎรสามารถตรวจสอบฝ่ายปกครองได้ และมีสิทธิในทางการเมืองเท่าเทียมกับข้าราชการอย่างแท้จริง

        ท่านยังได้ผลักดันให้รัฐบาลยกฐานะกรมร่างกฎหมายและมีการสถาปนาขึ้นเป็น “คณะกรรมการกฤษฎีกา” ทำหน้าที่ยกร่างกฎหมายและเป็นที่ปรึกษากฎหมายของแผ่นดิน ทั้งยังพยายามผลักดันให้คณะกรรมการกฤษฎีกาทำหน้าที่ศาลปกครองอีกด้วย แต่ก็ทำไม่สำเร็จเนื่องจากวัฒนธรรมในทางอำนาจนิยมของรัฐไทยยังมีอยู่มาก ความพยายามในการตั้งศาลปกครองของนายปรีดี พนมยงค์ จึงประสบอุปสรรคมาโดยตลอด

        ในปี พ.ศ. 2476 ได้เสนอเค้าโครงการเศรษฐกิจ หรือที่เรียกกันว่า “สมุดปกเหลือง” ต่อรัฐบาลเพื่อใช้เป็นนโยบายเศรษฐกิจของประเทศตามหลัก 6 ประการ ของคณะราษฎร โดยดำเนินเศรษฐกิจแบบสหกรณ์ แต่ไม่ทำลายกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของเอกชน ซึ่งแนวคิดนี้เกิดขึ้นจากการมองวิถีชีวิตของไทย แล้วหาวิธีการที่เห็นว่าเหมาะสมมาใช้เพื่อทำให้สภาพความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น

        นายปรีดี พนมยงค์ ยังได้วางหลักการประกันสังคม คือ ให้การประกันแก่ราษฎรทั้งหลายตั้งแต่เกิดจนตาย ที่จะได้รับความอุปการะจากรัฐบาล หากไม่สามารถทำงานได้ ซึ่งระบุไว้อย่างชัดเจนในหมวดที่ 3 แห่งเค้าโครงการเศรษฐกิจ ในชื่อร่าง “พระราชบัญญัติว่าด้วยการประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร” แต่แนวความคิดดังกล่าวถูกมองว่าเป็นคอมมิวนิสต์ และถูกคัดค้านอย่างหนักจากกลุ่มอนุรักษนิยม ภายหลังที่พันตรี ควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรี เกิดแพ้มติในเรื่อง “พระราชบัญญัติคุ้มครองค่าใช้จ่ายของประชาชนในภาวะคับขัน” รัฐมนตรีทั้งคณะจึงกราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่ง ที่ประชุมสภาฯ มีมติให้นายปรีดี พนมยงค์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี วันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2489 หลังการเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว ก็ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2489 ต่อจากนั้นเพื่อจะได้ดำเนินการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีต่อไป คณะรัฐมนตรีชุดเก่าจึงต้องออกไปตามวิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญและมารยาททางการเมือง

        เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2489 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลเสด็จสวรรคต ด้วยพระแสงปืน ณ พระที่นั่งบรมพิมาน ภายในพระบรมมหาราชวัง  นายปรีดี พนมยงค์ จึงแสดงความรับผิดชอบด้วยการกราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่ง ภายหลังการเสด็จขึ้นครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช โดยที่ทรงเห็นว่านายปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้สมควรไว้วางพระราชหฤทัย จึงได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ในวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2489

        จากกรณีที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลสวรรคตด้วยพระแสงปืน รัฐบาลจึงถูกโจมตีอย่างหนัก โดยถูกกล่าวหาว่าพยายามปิดบังและอำพรางความจริงในกรณีสวรรคต รวมทั้งไม่สามารถหาข้อเท็จจริงในการสวรรคตมาแจ้งให้ประชาชนทราบ จนเป็นที่พอใจได้ และมีการสร้างสถานการณ์ใส่ร้ายจากฝ่ายตรงข้ามโดยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ ดังกล่าว สถานการณ์ได้รุนแรง จนรัฐบาลต้องประกาศภาวะฉุกเฉินในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2489 ในที่สุดนายปรีดี พนมยงค์ จึงลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2489

        นายปรีดี พนมยงค์ ต้องลี้ภัยการเมืองไปยังประเทศจีนและฝรั่งเศสรวมระยะเวลากว่า 30 ปี และไม่ได้กลับสู่ประเทศไทยอีกเลยจนกระทั่งถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2526 ระหว่างที่ลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ นายปรีดีได้ฟ้องร้องผู้ใส่ความหมิ่นประมาทต่อศาลยุติธรรม ผลปรากฏว่าศาลตัดสินให้ชนะทุกคดี และยังได้รับความรับรองจากทางราชการตลอดจนเงินบำนาญและหนังสือเดินทางของไทย

        ผลงานที่สำคัญด้านอื่น ๆ ของนายปรีดี พนมยงค์ คือ เป็นผู้ก่อตั้งและผู้ประศาสน์การคนแรกและคนเดียวของมหาวิทยาลัย (เพราะต่อมาได้เปลี่ยนชื่อ ตำแหน่งเป็น อธิการบดี) และเป็นผู้ก่อตั้งธนาคารชาติไทย (ปัจจุบัน คือ ธนาคารแห่งประเทศไทย) เมื่อปี พ.ศ. 2543 นายปรีดี พนมยงค์ ได้รับการยกย่องเป็นบุคคลสำคัญของโลกจากองค์การยูเนสโก (UNESCO)

ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี

        ศิลป์ พีระศรี มีนามเดิมว่า คอร์ราโด เฟโรจี (Corrado Feroci) เป็นผู้มีบทบาทในการวางรากฐานการศึกษาศิลปะในประเทศไทยโดยการก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร คอร์ราโด เป็นบุตรชายของนายอาร์ทูโด เฟโรจี และนางซันตินา เกิดเมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2435 ที่ตำบลซานยิโอวานนี เมืองฟลอเรนซ์

        คอร์ราโด เฟโรจี เรียนจบจากหลักสูตรวิชาช่าง ได้รับเกียรติบัตรช่างปั้นและช่างเขียน (เกียรตินิยมอันดับ 1) ในปี พ.ศ. 2458 ขณะที่ยังอยู่ประเทศอิตาลีได้มีโอกาสสร้างสรรค์งานศิลปะประเภทงานประติมากรรมที่โดดเด่นเป็นที่รู้จัก คอร์ราโด เฟโรจี เดินทางเข้ามาในประเทศไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเนื่องจากในรัชกาลนี้เป็นช่วงที่อารยธรรมตะวันตกเข้ามามีอิทธิพลมากขึ้นกว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมา มีการจ้างชาวต่างประเทศที่เชี่ยวชาญในงานด้านต่าง ๆ เข้ามารับราชการเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นช่างออกแบบ วิศวกร และช่างที่ทำงานด้านศิลปะ เช่น ช่างเขียน ช่างปั้น โดยการติดต่อกับรัฐบาลอิตาลี เพื่อให้ช่วยคัดเลือกช่างศิลปะเพื่อเข้ามาทำงานในกรมศิลปากรซึ่งเป็นหน่วยงานที่ต้องการผู้มีความรู้ความสามารถทางศิลปะ รัฐบาลอิตาลีจึงคัดเลือกคอร์ราโด เฟโรจี ให้เข้ามาปฏิบัติงานในประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. 2466 โดยเข้ารับราชการในตำแหน่งช่างปั้นกรมศิลปากร สังกัดกระทรวงวัง ขณะนั้นนายคอร์ราโด เฟโรจีมีอายุ 32 ปี แล้วได้โอนไปปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ช่างปั้นหล่อในแผนกศิลปากรแห่งราชบัณฑิตยสถานใน พ.ศ. 2469 ต่อมาดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้ากองโรงเรียนใน พ.ศ. 2476

        หลังจากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ใน พ.ศ. 2484 เป็นต้นมา นายคอร์ราโด เฟโรจีเป็นชาวอิตาลีซึ่งเป็นประเทศคู่สงครามกับญี่ปุ่นถูกควบคุมตัวเนื่องจากเป็นคนของชาติฝ่ายตรงกันข้ามกับญี่ปุ่น แต่หลวงวิจิตรวาทการพยายามดำเนินการติดต่อขอร้องให้ช่วยผ่อนปรนการควบคุมตัว ในที่สุดคำขอร้องก็ได้รับการพิจารณา นายคอร์ราโด เฟโรจีก็ได้รับการปล่อยตัว จึงเป็นเหตุให้แปลงสัญชาติและเปลี่ยนชื่อเป็นไทยคือ ศิลป์ พีระศรี ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในภายหลัง

        ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้ร่วมก่อตั้งโรงเรียนศิลปากรแผนกช่าง ที่ต่อมาเป็นโรงเรียนประณีตศิลปากรรมในกรมศิลปากร และในภายหลังโรงเรียนดังกล่าวได้เลื่อนฐานะเป็นมหาวิทยาลัยศิลปากรโดยมีศาสตราจารย์ศิลป์พีระศรี ดำรงตำแหน่งคณบดีคณะจิตรกรรมและประติมากรรมเป็นคนแรก และเป็นผู้วางหลักสูตรการศึกษาในคณะนี้ นับเป็นสถาบันการศึกษาที่นำหลักวิชาศิลปะของตะวันตกเข้ามาเป็นรากฐานให้กับสถาบันอุดมศึกษาทางด้านศิลปะในประเทศไทยอย่างจริงจัง

        ต่อมาศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรีเข้ามามีส่วนร่วมในหน่วยงานราชการนอกเหนือจากการมีบทบาทสำคัญในสถาบันการศึกษา นั่นคือการเข้ามาเป็นข้าราชการกระทรวงวัฒนธรรม ที่มีหลวงวิจิตรวาทการเป็นผู้กำกับดูแลในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ต่อมาจึงโอนมาสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ทั้งยังได้รับเกียรติให้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการสมาคมศิลปะแห่งชาติอีกด้วย

        นอกจากบทบาททางด้านการศึกษาแล้ว ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรียังเขียนหนังสือประกอบการเรียนทางศิลปะหลายเรื่อง เช่น หนังสือศิลปะสงเคราะห์ ซึ่งเป็นพจนานุกรมศัพท์ศิลปะตะวันตก นับเป็นพจนานุกรมศิลปะฉบับแรกของไทย
        ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี เป็นผู้บุกเบิกการเขียนบทความเกี่ยวกับศิลปะให้แก่ผู้สนใจทั่วไป โดยศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรีเป็นผู้เขียนภาษาอังกฤษ และพระยาอนุมานราชธนเป็นผู้แปล มีเนื้อหาสาระกว้างขวางครอบคลุมทั้งศิลปะสากลและศิลปะไทย รวมทั้งบทวิจารณ์ผลงานที่ได้รับรางวัลและผลงานต่างๆ ในงานแสดงศิลปกรรมแห่งชาติหลายๆ ครั้งอยู่เสมอ เช่น บทความเรื่อง “การประจักษ์แห่งศิลป์” ในสูติบัตรงานแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 2 ใน พ.ศ. 2493 บทความเก่าเรื่อง “เก่ากับใหม่” ในการแสดงศิลปกรรมร่วมสมัยของศิลปินรุ่นเยาว์ครั้งที่ 8

        สำหรับงานในหน้าที่นั้น ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรีเคยได้รับมอบหมายจากรัฐบาลไทยให้นำผลงานศิลปะไทยไปแสดง ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูง นอกจากนี้เนื่องจากศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรีมีความสามารถด้านงานประติมากรรมเป็นที่ยอมรับในวงการศิลปะ จึงได้รับมอบหมายจากหน่วยงานราชการของไทยให้ออกแบบและปั้นรูปปั้นและพระบรมรูปหลายแห่ง ที่สำคัญ เช่น

        1.  พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ประดิษฐาน ณ เชิงสะพานปฐมบรมราชานุสรณ์หรือสะพานพระพุทธยอดฟ้า เป็นพระบรมรูปหล่อสำริดรมดำ ออกแบบโดยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ พระบรมรูปปั้นโดยศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2475

        2.  อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (คุณหญิงโม) ตั้งอยู่บริเวณด้านหลังประตูเมืองโบราณ จังหวัดนครราชสีมา เป็นประติมากรรมขนาดเท่าตัวจริงในท่ายืน ลักษณะท่าทางและอารมณ์ความรู้สึกของประติมากรรมสามารถถ่ายทอดความอ่อนโยนของสตรีไทยที่แฝงความแข็งแกร่งไว้ได้เป็นอย่างดี สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2477

        3.  พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ประดิษฐานกลางวงเวียนใหญ่ธนบุรี พระบรมรูปหล่อโลหะรมดำขนาดเท่าพระองค์จริงในพระอริยบถทรงม้า ทรงเครื่องนักรบ พระหัตถ์ขวาชูพระแสงดาบ พระหัตถ์ซ้ายทรงบังเหียนม้า พระบรมรูปนี้แล้วเสร็จใน พ.ศ. 2497

        4.  พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ประดิษฐาน ณ บริเวณหน้าสวนลุมพินี กรมศิลปากรมอบหมายให้ ศาสตราจารย์ศิลป์    พีระศรี ออกแบบปั้นและหล่อพระบรมรูปยืนขนาดใหญ่ ขนาดสองเท่าครึ่งของพระองค์จริงในฉลองพระองค์จอมทัพบก หล่อสำเร็จใน พ.ศ. 2484 นับเป็นครั้งแรกในกรุงรัตนโกสินทร์ที่มีการหล่อรูปปั้นขนาดใหญ่เช่นนี้

        นอกจากนั้นศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรียังมีผลงานประติมากรรมอีกหลายชิ้น เช่น พระบรมรูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราชใน พ.ศ. 2502 ขนาดเท่าพระองค์จริง ประดิษฐาน ณ บริเวณดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี และอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ซึ่งศาสตราจารย์ศิลป์เป็นผู้ออกแบบและดำเนินการปั้นกับศิษย์ของท่าน ทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2483 ส่วนงานประติมากรรมที่สำคัญทางศาสนาที่ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรีฝากผลงานไว้ คือ พระพุทธรูปยืน พระศรีศากยทศพลญาณ ประดิษฐานที่พุทธมณฑล เป็นพระพุทธรูปสำริด ปางลีลา ออกแบบเมื่อ พ.ศ. 2500 เพื่อฉลอง 25 พุทธศตวรรษแห่งพระพุทธศาสนา

        ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรีสมรสกับนางฟานนี มีบุตร    2 คน ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2505 รวมอายุได้ 70 ปี แม้ว่าศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรีถึงแก่กรรมไปแล้ว ท่านก็ยังคงทิ้งผลงานที่มีคุณค่าทางศิลปะไว้ให้แก่ชนชาวไทย นอกจากนี้ท่านยังได้ทิ้งคำพูดที่เป็นคติธรรมให้กับศิลปินได้จดจำและนำไปใช้ คือ “ศิลปะยืนยาว ชีวิตสั้น” และหนังสือที่มีคุณค่าเรื่อง พรุ่งนี้ก็สายเสียแล้ว