พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย กับสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ประสูติเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2347 มีพระนามเดิมว่า “เจ้าฟ้ามหามาลา” ขณะนั้นพระราชบิดายังดำรงพระยศเป็นเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร เมื่อทรงพระเยาว์ได้ทรงศึกษาอักขะสมัยกับสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เมื่อพระชนมายุได้ 9 พรรษา ได้รับสถาปนาเป็น"เจ้าฟ้ามงกุฎ" มีพระราชอนุชาร่วมพระราชมารดา คือ เจ้าฟ้าจุธามณี ซึ่งต่อมาได้รับการสถาปนาเป็น "พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว"
เมื่อพระชนมายุได้ 9 พรรษา ตรงกับปี พ.ศ. 2355 สมเด็จพระบรมชนกนาถโปรดเกล้าฯให้มีการพระราชพิธีลงสรง ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่กระทําขึ้นในกรุงรัตนโกสินทร์ ได้รับพระราชทานนามจารึกในพระสุพรรณปัฎว่า “สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามงกุฎสมมุติเทววงศ์พงศ์อิสรค์กษัตริย์ ขัตติยราชกุมาร” สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎฯ ได้เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2394 ทรงพระนามว่า “พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” เรียกขานพระนามในหมู่ชาวต่างชาติว่า “คิงส์มงกุฎ” ขณะที่พระองค์ขึ้นเสวยสิริราชย์สมบัตินั้น พระชนมายุ 37 พรรษา พระราชกรณียกิจที่สำคัญของพระองค์ เช่น
1. ด้านพระพุทธศาสนา พระองค์ทรงฟื้นฟูพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรือง โดยทรงตั้งนิกายธรรมยุติขึ้น เป็นนิกายใหม่ในพระพุทธศาสนา ที่มีความเคร่งครัดในพระธรรมวินัยและระเบียบแบบแผน นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังได้ทรงทำนุบำรุงพระเจดีย์เก่าสมัยทวารวดีองค์หนึ่ง เมื่อเสด็จพระธุดงค์ไปยังแขวงเมืองนครชัยศรี ทรงพระราชวินิจฉัยว่าสถูปโบราณแห่งนี้มีลักษณะแตกต่างจากเจดีย์องค์ก่อน ๆ ในพระราชอาณาจักร ด้วยความที่ทั้งใหญ่โตและเก่าแก่มาก เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์แล้วจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้บูรณปฏิสังขรณ์เจดีย์องค์นี้ โดยสร้างพระเจดีย์องค์ใหม่ครอบองค์เดิมไว้ (เพราะพระเจดีย์เก่าทรุดโทรมและต้องการอนุรักษ์แบบของเจดีย์องค์เดิมไว้) โดยเริ่มก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2396 และพระราชทานนามว่า “พระปฐมเจดีย์” โดยทำการบูรณะเสร็จสมบูรณ์ในสมัยรัชกาลที่ 5 (ผลจากการบูรณะพระปฐมเจดีย์ ทำให้ชุมชนขยายตัวในบริเวณดังกล่าวมาขึ้น จนกลายเป็นอำเภอเมือง จังหวัดนครปฐมในปัจจุบัน)
2. ด้านความสัมพันธ์กับต่างประเทศ ด้วยเหตุที่ทรงสนพระทัยในวิทยาการตะวันตกมาตั้งแต่ก่อนขึ้นครองราชย์ จึงทรงคุ้นเคยกับชาวตะวันตกโดยเฉพาะอังกฤษเป็นอย่างมาก ทั้งยังเกี่ยวข้องกับเสนาบดีสกุลบุนนาค เช่น สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ผู้กราบบังคมทูลเชิญเสด็จขึ้นครองราชย์นั้นก็เป็นผู้สนิทสนมและนิยมอังกฤษ ดังนั้น ในรัชสมัยของพระองค์จึงเปิดความสัมพันธ์กับประเทศตะวันตกอย่างกว้างขวาง มีการทำสัญญากับต่างประเทศถึง 10 ประเทศ ทรงยึดนโยบาย “ผ่อนสั้น ผ่อนยาว” มาใช้กับประเทศมหาอำนาจเป็นพระองค์แรกในสมัยรัตนโกสินทร์ อันทำให้สยามสามารถดำรงเอกราชอยู่ได้จนทุกวันนี้ พระองค์ได้ส่งคณะราชทูตสยามโดยมีพระยามนตรีสุริยวงศ์เป็นราชทูต เจ้าหมื่นสรรเพ็ชภักดีเป็นอุปทูต หมื่นมณเฑียรพิทักษ์เป็นตรีทูต นำพระราชสาส์นไปถวายสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งอังกฤษ นับเป็นความคิดริเริ่มให้มีการเดินทางออกนอกประเทศได้ เนื่องจากแต่เดิมกฎหมายห้ามมิให้ เจ้านาย พระราชวงศ์ ข้าราชการผู้ใหญ่เดินทางออกจากพระนคร เว้นเสียแต่ไปในการสงครามกับกองทัพ
พระองค์โปรดเกล้าให้ชาวต่างประเทศรับราชการเป็นกงสุลไทย เช่น เซอร์ จอห์น เบาว์ริง (Sir John Bowring) เอกอัครราชทูตของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร ที่ได้เดินทางเข้ามาทำสนธิสัญญาเบาว์ริงกับสยาม เมื่อปี พ.ศ. 2398 และยังได้พระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “พระยาสยามานุกูลกิจ สยามมิตรมหายศ” อยู่ ณ กงสุลไทยประจำกรุงลอนดอน
3. ด้านวิทยาศาสตร์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นนักดาราศาสตร์ไทย ทรงสามารถการคำนวณการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงได้อย่างแม่นยำด้วยพระองค์เอง ในวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 ล่วงหน้า 2 ปี และได้เสด็จพระราชดำเนินพร้อมเชิญทูตฝรั่งเศสและสิงคโปร์ทอดพระเนตรสุริยุปราคาครั้งนั้น นอกจากนี้พระปรีชาสามารถของพระองค์ในด้านวิทยาศาสตร์นั้น ยังทำให้พระองค์ได้รับการยกย่องเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ของสัตววิทยาสมาคมแห่งสหราชอาณาจักรอีกด้วย ดังนั้นทำให้พระองค์ได้รับยกย่องว่าเป็น “พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย” และให้วันที่ 18 สิงหาคม ของทุกปี เป็นวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
ในปี พ.ศ. 2411 พระองค์ทรงเสด็จไปทอดพระเนตรสุริยุปราคา ที่ตําบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตามที่พระองค์ทรงทํานายเอาไว้ว่า จะเกิดในวันขึ้น 1 คํ่า เดือน 10 พ.ศ. 2411 หลังจากที่เสด็จนิวัตมาแล้วก็ทรงพระประชวรหนัก และได้เสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2411 พระชนมายุได้ 65 พรรษา เสวยราชสมบัติได้ 17 ปี มีพระราชโอรส และพระราชธิดา รวมทั้งสิ้น 82 พระองค์
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็น พระราชโอรสในรัชกาลที่ 4 และสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2396 มีพระนามเดิมว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ทรงได้รับการศึกษาขั้นต้นในพระบรมมหาราชวัง เมื่อพระชนมายุ 13 พรรษา ทรงเป็นกรมขุนพินิตประชานาถ เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 ขณะมีพระชนมพรรษาเพียง 15 พรรษา โดยมีสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินจนถึง พ.ศ. 2416 เมื่อพระองค์มีพระชนมายุครบ 20 พรรษา และทรงบรรลุนิติภาวะแล้ว จึงมีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่ 2 ทรงครองราชย์ยาวนานถึง 42 ปี เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453
เพื่อให้ไทยเจริญก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศ และรอดพ้นจากภัยจักรวรรดินิยมที่กำลังคุกคามภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ในขณะนั้น รัชกาลที่ 5 ทรงพัฒนาและปรับปรุงบ้านเมืองทุกด้าน เช่น
1. ด้านการปกครอง ทรงปฏิรูปการปกครองใหม่ตามอย่างตะวันตก แยกการปกครองออกเป็น 3 ส่วน คือ การปกครองส่วนกลาง แบ่งเป็นกรมต่าง ๆ ที่ต่อมาได้ยกระดับเป็นกระทรวง การปกครองส่วนภูมิภาคในระบบมณฑลเทศาภิบาล และการปกครองส่วนท้องถิ่นในแบบสุขาภิบาล
2. ด้านกฎหมายและการศาล ทรงตั้งกระทรวงยุติธรรมมีหน้าที่รับผิดชอบศาลยุติธรรม เป็นการแยกอำนาจตุลาการออกจากฝ่ายบริหารเป็นครั้งแรก ยกเลิกจารีตนครบาลที่ใช้วิธีโหดร้ายทารุณในการไต่สวนคดีความ ตั้งโรงเรียนกฎหมายขึ้น และประกาศใช้ประมวลกฎหมายลักษณะอาญาอันเป็นประมวลกฎหมายฉบับแรกของสยาม การปรับปรุงกฎหมายและการศาลนี้เป็นนโยบายหนึ่งที่ทำให้สยามสามารถแก้ปัญหาสิทธิสภาพนอกอาณาเขตได้ในภายหลัง
3. ด้านสังคมและวัฒนธรรม ทรงยกเลิกระบบทาสและระบบไพร่ ให้ประชาชนมีอิสระในการดำรงชีวิต ยกเลิกประเพณีที่ล้าสมัย และรับเอาวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามา ทรงยกเลิกประเพณีหมอบคลาน เปลี่ยนแปลงการใช้ปฏิทินจันทรคติมาเป็นสุริยคติ อีกทั้งทรงยกเลิกการใช้จุลศักราช (จ.ศ.) เปลี่ยนมาเป็นรัตนโกสินทรศก (ร.ศ.) นอกจากนี้ยังทรงยกเลิกการมีพระมหาอุปราช หรือกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) แล้วตั้งตำแหน่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฏราชกุมารขึ้นมาแทน
เนื่องจากรัชกาลที่ 5 ทรงมีความสนพระทัยในวัฒนธรรมตะวันตก สิ่งหนึ่งที่แสดงออกมาได้อย่างชัดเจนคืองานสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตก เช่น วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม สร้างด้วยหินอ่อนจากอิตาลี และมีสถาปัตยกรรมตะวันตกที่สำคัญ คือ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ที่เป็นส่วนผสมระหว่างศิลปะไทยกับตะวันตก หรือที่เรียกว่า “ฝรั่งสวมชฎา” พระที่นั่งอนัตสมาคมเป็นพระที่นั่งที่สร้างตามแบบศิลปะแบบเรเนอซองส์ผสมนีโอคลาสสิค และวัดนิเวศธรรมประวัติเป็นวัดไทยที่สร้างพระอุโบสถ์ให้มีลักษณะเดียวกับโบสถ์คริสต์
4. ด้านการเงิน การธนาคาร และการคลัง ผลจากการทำสนธิสัญญาเบาว์ริงในสมัยรัชกาลที่ 4 ทำให้เศรษฐกิจการค้าขยายตัว มีชาวต่างชาติเข้ามาทำกิจการในประเทศไทยมากขึ้น รัชกาลที่ 5 จึงโปรดเกล้าฯ ให้ออกใช้ธนบัตรและมีการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนที่แน่นอนเป็นครั้งแรก ทรงอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ของต่างประเทศเข้ามาตั้งสาขา และสนับสนุนให้ชาวสยามตั้งธนาคารพาณิชย์ขึ้น ในด้านการคลังมีการจัดทำงบประมาณแผ่นดินเป็นครั้งแรก และปรับปรุงระบบจัดเก็บภาษีอากรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
5. ด้านการสาธารณูปโภค มีการสร้างถนนเพิ่มเติม ขุดคลองใหม่ และลอกคลองเดิมเพื่อใช้ในการคมนาคมและขยายพื้นที่เพาะปลูก ทรงริเริ่มให้มีการจัดกิจการสาธารณูปโภคหลายอย่างขึ้นเป็นครั้งแรก เช่น รถไฟ, รถราง, โทรเลข, ไปรษณีย์, โทรศัพท์, ไฟฟ้า, ประปา, การรถไฟ, พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้คณะเสนาบดีและกรมโยธาธิการสำรวจเส้นทาง เพื่อวางรากฐานการสร้างทางรถไฟจากกรุงเทพฯ – เชียงใหม่ มีการวางแผนให้ทางรถไฟสายนี้ตัดเข้าเมืองใหญ่ ๆ ในบริเวณภาคกลางของประเทศแล้วแยกเป็นชุมสายตัดเข้าสู่จังหวัดใหญ่ทางแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อีกทั้งทรงโปรดเกล้าฯ ให้มีการตัดถนนตามแบบตะวันตก เช่น ถนนราชดำเนิน ถนนเยาวราช
6. ด้านการแพทย์และการสาธารณูปโภค ทรงปรับปรุงให้เป็นแบบสมัยใหม่ เช่น ตั้งโรงพยาบาลวังหลัง (ศิริราช) สภาอุณาโลมแดง (สภากาชาดไทย) กรมสุขาภิบาล โรงเรียนสอนแพทย์ โรงเรียนผดุงครรภ์และพยาบาล
7. ด้านการศึกษา มีการสร้างโรงเรียนหลวงแห่งแรกเพื่อให้การศึกษาแก่ราษฎร ทรงส่งพระโอรสและพระบรมวงศานุวงศ์ไปศึกษาต่างประเทศ จุดมุ่งหมายของการจัดการศึกษาก็เพื่อฝึกคนให้มีความรู้สำหรับเข้ารับราชการ นอกจากนี้ทรงจัดตั้งกรมธรรมการหรือกระทรวงศึกษาธิการในปัจจุบัน เพื่อทำหน้าที่กำกับดูโรงเรียนเหล่านี้ ทำให้มีโรงเรียนเกิดขึ้นมากมาย
8. ด้านการศาสนา ทรงพระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์แก่ทุกศาสนา สำหรับพุทธศาสนา โปรดเกล้าฯให้ตราพระราชบัญญัติลักษณะปกครองสงฆ์ เพื่อที่จะได้จัดสังฆมณฑลให้เป็นที่เรียบร้อย นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งสถานศึกษาสำหรับพระสงฆ์ คือ มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัยที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ สำหรับสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย และมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยที่วัดบวรนิเวศวิหาร สำหรับฝ่ายธรรมยุติ และให้มีการทำสังคยานาพระไตรปิฎก มีการสร้างวัดวาอารามต่าง ๆ มากมาย เช่น วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ซึ่งเป็นวัดประจำรัชกาล
9. ด้านการทหาร ทรงปรับปรุงหน่วยทหารและอาวุธยุทธภัณฑ์ให้ทันสมัย ตั้งกรมยุทธนาธิการซึ่งภายหลังได้รวมเข้ากับกระทรวงกลาโหม ตั้งโรงเรียนนายร้อยทหารบก (โรงเรียนนายร้อยพระจุลจมเกล้า) โรงเรียนนายเรือ และตราพระราชบัญญัติลักษณะเกณฑ์ทหาร ร.ศ. 124 ขึ้นใช้เป็นครั้งแรก
ในการปรับปรุงประเทศในด้านต่าง ๆ เนื่องจากในขณะนั้นคนไทยที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในวิทยาการสมัยใหม่ยังมีน้อย รัชกาลที่ 5 จึงต้องทรงจ้างชาวต่างประเทศเข้ามาเป็นที่ปรึกษาและรับราชการเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นชาวตะวันตก เช่น อังกฤษ, อเมริกัน, เยอรมัน, ฝรั่งเศส, เบลเยียม, เดนมาร์ก, ที่เป็นชาวตะวันออกก็มีอยู่บ้าง เช่น ญี่ปุ่น, ลังกา ปรากฏว่าชาวต่างประเทศที่จ้างมาทำงานได้ผลดี สร้างคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศเป็นอย่างมาก บางคนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นถึงพระยาและเจ้าพระยา
นอกจากนี้รัชกาลที่ 5 ยังทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่เสด็จพระราชดำเนินต่างประเทศ โดยได้เสด็จประพาสสิงคโปร์ อังกฤษ และเกาะชวาอาณานิคมของฮอลันดา ต่อมาเสด็จประพาส อินเดียซึ่งเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ทรงนำความเจริญของดินแดนเหล่านี้มาประกอบในการพัฒนาประเทศ
ในปี พ.ศ. 2440 รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 1 ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศต่าง ๆ กว่า 10 ประเทศ เป็นผลดีต่อฐานะของประเทศไทยในสังคมระหว่างประเทศ ต่อมาในปี พ.ศ. 2449-2450 ได้เสด็จประพาสยุโรปเป็นครั้งที่ 2 เพื่อเยี่ยมพระราชโอรสที่ศึกษาอยู่ในประเทศต่าง ๆ และรักษาพระองค์ตามที่แพทย์ถวายคำแนะนำ ในโอกาสเดียวกันทรงได้เจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาทางการเมืองกับประเทศต่าง ๆ ด้วย
แม้ว่ารัชกาลที่ 5 จะทรงพัฒนาประเทศทุก ๆ ด้าน และพยายามผูกมิตรกับชาติมหาอำนาจต่าง ๆ แต่สยามก็ยังไม่อาจรอดพ้นภัยจากลัทธิล่าอาณานิคมโดยสิ้นเชิง ดังเช่น เหตุการณ์ ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) สยามเกิดข้อพิพาทด้านดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง (ประเทศลาว) กับฝรั่งเศส จนถึงขั้นที่ฝรั่งเศสส่งหมู่เรือรบเข้าปิดปากอ่าวไทย และได้ปะทะกับฝ่ายไทยที่บริเวณป้อมพระจุลจอมเกล้า อำเภอปากน้ำ จังหวัดสมุทรปราการ แม้กระนั้นเรือรบของฝรั่งเศสก็ยังสามารถฝ่าแนวป้องกันของฝ่ายไทยเข้ามาถึง ฝ่ายฝรั่งเศส เรียกร้องดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงและค่าเสียหายจำนวนมาก ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต้องทรงยอมเสียดินแดนส่วนดังกล่าว พร้อมทั้งจ่ายเงินค่าเสียหายชดเชยให้แก่ฝรั่งเศส (ส่วนนี้ได้นำเงินถุงแดงตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 และทรัพย์สินส่วนพระองค์และที่เรี่ยไรจากพระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางผู้ใหญ่อีกจำนวนหนึ่ง) เพื่อรักษาเอกราชและดินแดนส่วนใหญ่ไว้ ทำให้สยามรอดพ้นจากการเป็นอาณานิคมได้เพียงประเทศเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2423 ได้รับพระราชทานนามว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ เมื่อพระชนมายุได้ 12 พรรษา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระโปรดเกล้าฯ ให้ไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ
หลังจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร (ทรงเป็นสยามมกุฎราชกุมารพระองค์แรก) ประชวรและเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2437 พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จึงพร้อมกันกราบบังคมทูลพระกรุณาขอสถาปนาสมเด็จพระเจ้ายาลูกเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ กรมขุนเทพทวารวดีขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารแทน เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตในวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชอัจฉริยภาพ ทรงมุ่งมั่นในการพัฒนาประเทศให้ก้าวขึ้นไปสู่ความเจริญทัดเทียมกับบรรดาอารยประเทศ และทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจในหลายสาขา ทั้งด้านการเมืองการปกครอง การทหาร การศึกษา การสาธารณสุข การต่างประเทศ และที่สำคัญที่สุดคือ ด้านวรรณกรรมและอักษรศาสตร์ ได้ทรงพระราชนิพนธ์บทร้อยแก้วและร้อยกรองไว้นับพันเรื่อง กระทั่งทรงได้รับการถวายพระราชสมัญญาเมื่อเสด็จสวรรคตแล้วว่า “สมเด็จพระมหาธีราชเจ้า”
ในด้านศิลปวัฒนธรรม รัชกาลที่ 6 ทรงตั้งกรมมหรสพ เพื่อฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมไทย ได้ทรงสร้างโรงละครหลวงไว้ในพระราชวังทุกแห่ง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ออกแบบอาคารสมัยใหม่เป็นแบบทรงไทย เช่น ตึกอักษรศาสตร์ ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติวรรณคดีสโมสร
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวถือเป็น “ยุคทองของการละครไทย” เพราะพระองค์ทรงปรับปรุงและส่งเสริมทั้งศิลปะการแสดงโขนละครไทย ด้วยการพระราชนิพนธ์บท ทรงแสดงร่วม ทรงควบคุมการจัดแสดงและฝึกซ้อมด้วยพระองค์เอง นอกจากนี้ทรงเป็นผู้นำในการสร้างสรรค์บทละครสมัยใหม่ โดยนำแบบอย่างตะวันตกมาเผยแพร่ ทั้งวิธีแสดง การวางตัวละครบนเวที บทละครมีการแปลและดัดแปลงเป็นไทย เช่น บทละครของเชคสเปียร์และของนักเขียนตะวันตกที่ดีเด่นหลายคนและมักจะแสดง โดยชาววังและขุนนางข้าราชการซึ่งเป็นที่รู้จักกันในสังคมชั้นสูง ในสมัยนั้นมีการประกวด ประชันการแสดงกันอยู่เสมอ ทำให้การละครไทยได้พัฒนาไปมาก