ในปี พ.ศ. 2309 ก่อนกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าครั้งที่ 2 พระยาตาก (สิน) ในขณะนั้นได้รับการอวยยศขึ้นเป็นพระยาวชิรปราการ เจ้าเมืองกำแพงเพชรซึ่งเข้ามาช่วยรักษาพระนครเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาจะต้องเสียแก่พม่าแน่ จึงนำกำลังทหารและไพร่พลประมาณ 500 คน ตีฝ่าวงล้อมของพม่าหนีไปทางตะวันออก ไปตั้งอยู่ที่เมืองจันทบุรี เมื่อรวบรวมผู้คนและต่อเรือได้มากพอ พระยาตากก็ยกกองทัพมาตีพม่าที่ธนบุรีและกรุงศรีอยุธยา จนสามารถกู้เอกราชได้สำเร็จ แล้วปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4 แต่คนทั่วไปเรียกพระองค์ว่า พระเจ้าตากสินหรือสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ต่อมาทรงได้รับการยกย่องเป็น สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ภาพที่ 1 พระบรมสาทิสลักษณ์สมเด้จพระเจ้ากรุงธนบุรี
ที่มา: https://en.wikipedia.org/wiki/Taksin#/media/File:KingTaksinfromItalymuseum.JPG
สำหรับการตั้งราชธานีใหม่ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาถูกทำลายเสียหายมากจนบูรณะไม่ไหว จึงทรงย้ายราชธานีมาตั้งที่เมืองธนบุรี ซึ่งมีบริเวณครอบคลุมทั้งสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
1. เมืองธนบุรีเป็นเมืองหน้าด่านควบคุมการเดินเรือในอ่าวไทย และอยู่ใกล้ปากอ่าวยิ่งกว่ากรุงศรีอยุธยา อันจะทำให้กรุงธนบุรีได้ประโยชน์จากการค้าทางทะเล
2. เมืองธนบุรีตั้งอยู่ในทำเลที่จะทำการค้ากับต่างประเทศได้สะดวกและหากมีข้าศึกมาโจมตีก็อาจหนีไปทางหัวเมืองชายทะเลได้
3. เมืองธนบุรีมีดินและน้ำอุดมสมบูรณ์ ทำการเกษตรได้ผลดี
4. เมืองธนบุรีมีป้อมปราการที่สร้างสมัยอยุธยาอยู่ 2 แห่งแล้ว คือ ป้อมวิชัยประสิทธิ์และป้อมวิไชเยนทร์ สามารถใช้ป้องกันข้าศึกที่จะยกทัพมาทางเรือได้
5. เมืองธนบุรีมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก เหมาะสมกับกำลังพลของพระองค์ที่มีอยู่ในการป้องกัน
สมัยธนบุรีเป็นระยะของการกอบกู้บ้านเมืองให้พ้นจากสภาพความแตกแยกทางการเมืองภายในและมีศึกสงครามเกิดขึ้นเกือบตลอดสมัย พระบรมราโชบายที่สำคัญของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชคือการสร้างกองทัพให้เข้มแข็ง ดังจะเห็นได้จากการที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชและบรรดาชนชั้นนำไม่ว่าจะเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ที่ทรงแต่งตั้งขุนนางทุกระดับชั้นร่วมกันต่อสู้และแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เพื่อนำบ้านเมืองกลับสู่ความมั่นคงโดยเร็ว โดยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชพยายามเน้นพระองค์เป็นธรรมราชา เพื่อสร้างความเป็นผู้นำของพระองค์และทรงส่งคณะทูตไปจีนหลายครั้ง เพื่อให้จีนยอมรับฐานะพระมหากษัตริย์ของพระองค์ จนถึงปีสุดท้ายในรัชสมัยจึงทรงประสบความสำเร็จ
ภาพที่ 2 แผนที่กรุงธนบุรีสมัยกรุงศีอยุธยาตอนปลาย (ช่วงสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช)
ที่มา: https://en.wikipedia.org/wiki/Taksin#/media/File:Siege_of_Bangkok.JPG
นักประวัติศาสตร์บางท่านกล่าวว่า ในช่วงปลายสมัยเกิดการกบฏขึ้นที่เขมร สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้กรมขุนอินทรพิทักษ์พระราชโอรสพร้อมด้วยสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกและเจ้าพระยาสุรสีห์นำกองทัพไปปราบกบฏ ทำให้กำลังส่วนใหญ่ไม่ได้ประจำอยู่ในกรุง จึงเกิดจลาจลขึ้นที่กรุงเก่าแล้วลุกลามกลายเป็นกบฏพระยาสรรค์ หัวหน้ากบฏเข้ายึดกรุงธนบุรีและบังคับให้พระองค์ทรงผนวช สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้นำกองกำลังกลับมาปราบกบฏและยึดกรุงธนบุรีไว้ได้ แล้วปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์
กรุงธนบุรีมีกษัตริย์เพียงพระองค์เดียว คือ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชซึ่งทรงครองราชสมบัติได้เพียง 15 ปี ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว ทรงทำสงครามป้องกันพระราชอาณาจักร และแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ
การปกครองส่วนกลาง ภายในราชธานีจัดการปกครองแบบจตุสดมภ์ตามแบบของอยุธยา ส่วนการปกครองส่วนภูมิภาค แบ่งหัวเมืองออกเป็น เมืองเอก เมืองโท เมืองตรี เมืองจัตวา