อาณาจักรลังกาสุกะเป็นอาณาจักรโบราณ มีศูนย์กลางตั้งอยู่บริเวณอำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี มีอาณาเขตปกครองกว้างขวางครอบคลุมคาบสมุทรมลายูตอนล่างทั้งหมดโดยพัฒนามาจากเมืองท่าเล็ก ๆ ของชาวพื้นเมืองจนเติบโตเป็นรัฐและมีฐานะเป็นอาณาจักรมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 7 เป็นศูนย์กลางการค้าและศาสนา ได้ล่มสลายไปในต้นพุทธศตวรรษที่ 21 ปัจจุบันปรากฏร่องรอยศาสนสถานประเภทสถูปเจดีย์ขนาดใหญ่ จำนวน 33 แห่ง
ร่องรอยทางโบราณคดี ชี้ให้เห็นว่ามีลักษณะเป็นเมืองเรียงต่อกันถึง 3 เมืองด้วยกัน ได้แก่ บ้านวัด บ้านจาเละ และบ้านบราแว อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี
บราแว เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ริมทะเล ในภาษามาลายูท้องถิ่น ซึ่งตรงกับภาษาไทยว่า "พะวัง" หรือ "พระราชวัง" ได้เพี้ยนจนมาเป็นคำว่า ยะรัง สาเหตุที่ได้เรียกพื้นที่แถบนี้ว่า "บราแว" หรือ "พระราชวัง" นั้น เนื่องมาจากว่ามีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่แสดงให้เห็นว่า พื้นที่แห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งของเมืองโบราณ ชื่อ "โกตามาหาลิไฆ" ปัจจุบันยังมีซากกำแพงดิน คูเมือง สระ (บ่อโบราณ) และซากปรักหักพังของโบราณสถานหลายแห่งในพื้นที่ มีการพบศาสนสถานในศาสนาพราหมณ์ และพุทธศาสนา พบจารึกอักษรปัลลวะ ภาษาสันสกฤต
อาณาจักรลังกาสุกะเฟื่องฟู เนื่องมาจากที่ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างเส้นทางค้าขายโลกตะวันตกและตะวันออก เป็นศูนย์กลางการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้า และการค้าขายเครื่องเทศ สินค้าสำคัญของภูมิภาคนี้ ได้แก่ ไม้หอม และกำยาน ซึ่งอินเดีย อาหรับ และยุโรปต่างต้องการอย่างมาก โดยกล่าวกันว่ากำยานชั้นดีที่สุดเป็นกำยานลังกาสุกะในโลกอาหรับ และชาติมุสลิมใช้อย่างกว้างขวาง เนื่องจากเป็นเครื่องหอมที่ไม่มีแอลกอฮอล์เจือปน ไม่ผิดหลักทางศาสนาที่มีชื่อว่า “ไซมีส เบนโซอีน” ที่ยังใช้กันมาจนทุกวันนี้ อาณาจักรลังกาสุกะจึงเป็นท่าเรือส่งออกสินค้าที่ใหญ่มาก
จดหมายเหตุราชวงศ์เหลียง ของจีน (พ.ศ. 1045-1106) บันทึกไว้ว่าอาณาจักรลังกาสุกะ สถาปนาขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 7 มีอำนาจปกครองระหว่างสองฝั่งทะเล คือ ด้านตะวันตกจรดไทรบุรี และด้านตะวันออกที่ปัตตานี ข้อความในจดหมายเหตุนี้สอดคล้องกับตำนานไทรบุรี ปัตตานี
ในจดหมายเหตุราชวงศ์เหลียง หรือเหลียงชูของจีน มีภาพบุคคลชื่อ อชิตะ (จีนออกเสียงเป็น "อาเซ่อตัว") เป็นราชทูตจากประเทศลังกาสุกะ (จีนออกเสียงเป็น "หลังหยาสิ้ว" บางแหล่งเรียก "หลาง หย่า ซุ่ย") มีคำบรรยายภาพว่า “เป็นคนหัวหยิกหยอง น่ากลัว นุ่งผ้าโจงกระเบน ห่มสไบเฉียง สวมกำไลที่ข้อเท้าทั้งสอง ผิวค่อนข้างดำ” โดยเดินทางไปเยือนราชสำนักจีนในปี พ.ศ.1058 สมัยพระเจ้าอู่ตี้ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์เหลียง ทางการจีนได้เขียนภาพ อาเซ่อตัว ไว้เป็นที่ระลึก พระเจ้าแผ่นดินแห่งลังกาสุกะในเวลานั้น ทรงพระนามว่า ผอเจี่ยต้าตัว หรือ พระเจ้าภัคทัต
บันทึกนี้ยังระบุรายละเอียดอีกว่า "หลังหยาสิ้ว" อยู่ในบริเวณทะเลใต้ ห่างจากเมืองท่ากวางตุ้ง 24,000 ลี้ อาณาเขตทิศเหนือติดต่อกับประเทศผัน-ผัน หรือ พาน-พาน ประเทศนี้มีความกว้างยาว วัดด้วยการเดินเท้าจากทิศใต้ไปจรดทิศเหนือ ใช้เวลาเดินทางกว่า 20 วัน และหากเดินจากทิศตะวันออกไปถึงตะวันตกก็จะใช้เวลา 30 วัน ตัวเมืองลังกาสุกะ มีกำแพงล้อมรอบ มีประตู และหอคอยคู่ พระราชามีพระนามว่า ภคทัต เวลาจะเสด็จไปที่แห่งใด จะทรงช้างเป็นพาหนะ มีฉัตรสีขาวกั้น มีขบวนแห่ประกอบด้วยกลอง และทิว นำหน้า แวดล้อมด้วยทหารที่มีหน้าตาดุร้าย คอยระแวดระวังพระองค์ ชาวเมืองนิยมไว้ผมยาว ผู้หญิงแต่งกายด้วยผ้าฝ้าย (Ki-Pei) มีเครื่องเพชรพลอยประดับตกแต่งกาย ผู้ชายมีผ้าพาดไหล่ทั้งสอง มีเชือกทอง คาดต่างเข็มขัด และสวมตุ้มหูทองรูปวงกลม
ลังกาสุกะล่มสลายเพราะเกิดจากทะเลถอยห่างออกไปเรื่อย ๆ เมื่อไม่สามารถทำมาหากินเป็นเมืองท่าค้าขายได้เหมือนเดิม ผู้คนจึงอพยพทิ้งบ้านทิ้งเมืองไปอยู่ที่อื่นกันหมด พร้อม ๆ กับอาณาจักรใกล้เคียงอื่น ๆ เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาแทนที่
ตั้งแต่ต้นพุทธศตวรรษที่ 3 เป็นต้นมา ชาวอินเดียทางตอนใต้และตะวันออกเฉียงใต้ เริ่มถูกคุกคามจากพวกอารยันที่รุกรานจากทางเหนือลงมา จึงทำให้พวกนักเดินเรือแสวงโชค พ่อค้าและพราหมณ์ เดินเรือเลียบชายฝั่งเข้ามาตั้งถิ่นฐานขุดหาแร่ดีบุกในบริเวณชายฝั่งทะเลตะวันตก ตั้งแต่เกาะภูเก็ตขึ้นไปจนถึงปากจั่น ในจังหวัดระนอง โดยใช้เมืองตักโกละเป็นเมืองท่าและศูนย์กลาง
ในปี พ.ศ. 270 พระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของอินเดีย ได้ยกกองทัพเข้าโจมตีชาวอินเดียในแคว้นกลิงค (กลิงคราฐ) และแคว้นใกล้เคียง ทางตอนใต้และตะวันออกเฉียงใต้อีก (ชาวอินเดีย พวกดราวิเดียน (Dravidians) ใช้ภาษาทมิฬ) จึงทำให้เกิดการอพยพหนีภัยสงครามครั้งยิ่งใหญ่ ชาวอินเดียเหล่านี้ไปอยู่ตามที่ต่าง ๆ หลายแห่งในคาบสมุทรมลายู รวมทั้งที่ตะกั่วป่าด้วย โดยสมทบกับชาวอินเดียที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ก่อนแล้ว จนกลายเป็นชุมชนใหญ่ขึ้นมา ชุมชนแห่งนี้คือ “เมืองตักโกละ” (Takola) นั่นเอง มีหลักฐานที่กล่าวถึงเมืองตักโกละอยู่หลายแห่งที่น่าสนใจ เช่น
นักวิชาการทางด้านโบราณคดี และนักประวัติศาสตร์ หลายท่านเชื่อว่าชุมชนตะกั่วป่าโบราณ คือ เมืองท่าตักโกละ ที่กล่าวถึงในเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันคือ บริเวณบ้านทุ่งตึก และปลายคลองเหมืองทอง หมู่ที่ 3 ตำบลเกาะคอเขา อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา นั่นเอง
นับตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 8 เป็นต้นมา เมืองตักโกละ ได้พัฒนาเป็นเมืองท่าจอดเรือที่มีความเจริญรุ่งเรืองที่สุด ทางด้านชายฝั่งทะเลตะวันตก เป็นที่รู้จักกันดีของบรรดาชาติต่าง ๆ หลายชาติ เช่น อินเดีย จีน เปอร์เชีย อาหรับ รวมทั้งกรีกและโรมันในทวีปยุโรป ชาติเหล่านี้ได้เข้ามาติดต่อค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าซึ่งกันและกัน และเป็นสถานที่จอดแวะพักเรือ เพื่อเติมเสบียงอาหาร และซ่อมแซมเรือรวมทั้งรอลมมรสุม เพื่อการเดินทางต่อไป จากการสำรวจขุดค้นแหล่งโบราณคดีบ้านทุ่งตึก และปลายคลองเหมืองทอง โดยกรมศิลปากร พบหลักฐานสำคัญที่สามารถอธิบายได้ว่า เมืองตักโกละ เป็นเมืองท่าที่อยู่ในเส้นทางการค้าของโลกยุคโบราณ ที่เชื่อมระบบการค้าระหว่างดินแดนตะวันตกและดินแดนทางตะวันออกเข้าด้วยกัน และถือเป็นเส้นทางสายไหมทางทะเล ก็ว่าได้ หลักฐานที่พบ เช่น พบภาชนะดินเผาที่เก่าแก่ของจีน สมัยหกราชวงศ์อายุประมาณปี พ.ศ. 763 เครื่องแก้วและภาชนะดินเผาของเปอร์เชีย ลูกปัดชนิดต่าง ๆ หลายแบบ หลายขนาดและจากหลายแหล่ง
นอกจากนั้นยังเป็นเส้นทางลัดข้ามคาบสมุทรติดต่อระหว่างฝั่งทะเลตะวันตกด้านทะเลอันดามัน และฝั่งทะเลตะวันออกด้านทะเลอ่าวไทย เนื่องจากในสมัยโบราณเรือที่อาศัยแรงลมไม่สามารถเดินทางอ้อมแหลมมลายูได้ เพราะบริเวณตั้งแต่แลตติจูด 5 องศา ลงไปนั้นเป็นเขตลมสงบ (Doldrum) มีการพบหลักฐานทางด้านประวัติศาสตร์ และโบราณคดีที่สำคัญ ๆ หลายอย่างที่สามารถอธิบายเรื่องราวเกี่ยวกับการใช้เส้นทางข้ามคาบสมุทรมลายูตลอดเส้นทางสายนี้ เช่น พระเหนอ (พระนารายณ์) ที่เขาพระเหนอ ใกล้ปากแม่น้ำตะกั่วป่าพระนารายณ์ และเทพบริวารที่เขาพระนารายณ์ (อยู่ตรงคลองเหลกับคลองรมณีย์พบกัน) อยู่ในอำเภอกะปง จังหวัดพังงา โบราณวัตถุบริเวณบ้านท่าหัน เชิงเขาสก อำเภอกะปง พระนารายณ์ที่เขาศรีวิชัย ในอำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นต้น
ตักโกละ คงจะมีความเจริญรุ่งเรืองอยู่ช่วงพุทธศตวรรษที่ 6-8 ระยะหนึ่ง จากนั้นอาณาจักรฟูนัน ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง ขยายอำนาจลงมาปกครองคาบสมุทรมลายูไว้ทั้งหมด จนกระทั่งอาณาจักรฟูนันเสื่อมอำนาจลงในพุทธศตวรรษที่ 11 เมืองต่าง ๆ ในบริเวณคาบสมุทรมลายูจึงมีอิสระขึ้นอีกครั้ง ปรากฏเมือง และแว่นแคว้นต่าง ๆ เกิดขึ้นหลายแห่ง เช่น ไชยา ตามพรลิงค์ สะทิงพระ ปัตตานี บริเวณตลอดแหลมมลายู ลงไปจนถึงหมู่เกาะ สำหรับเมืองตักโกละในช่วงนี้ มีกล่าวในตำนานเมืองนครศรีธรรมราชที่น่าสนใจอยู่ 2 ฉบับ คือ ฉบับที่พระเสนานุชิตพบที่บ้านทุ่งตึก อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา และฉบับที่พระพิไชยเดชะพบที่วัดเวียงสระ อำเภอเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี
อาณาจักรตามพรลิงค์ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นอาณาจักรนครศรีธรรมราชนั้น เป็นอาณาจักรโบราณที่มีมาแล้วตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธศตวรรษที่ 7 มีศูนย์กลางอยู่ที่นครศรีธรรมราชในปัจจุบัน (อาจจะเป็นบริเวณบ้านท่าเรือ หรือบ้านพระเวียง) มีอาณาเขตทางตะวันออก และตะวันตกจรดทะเล โดยฝั่งอันดามันถึงบริเวณที่เรียกว่าทะเลนอก ซึ่งเป็นบริเวณจังหวัดกระบี่ในปัจจุบัน คำว่า “ตามพ” เป็นภาษาบาลี แปลว่า“ทองแดง” ส่วน “ลิงค์” เป็นเครื่องหมายบอกเพศ เขียนเป็นอักษรภาษาอังกฤษว่า “Tambalinga” หรือ “Tanmaling” หรือ “Tamballinggam” ภาษาจีนเรียก “ตันเหมยหลิง” หรือ “โพ-ลิง” หรือ “โฮลิง” (แปลว่า หัวแดง) บางทีเรียกว่า “เชียะโท้ว” (แปลว่า ดินแดง) อาณาจักรตามพรลิงค์ มีกษัตริย์สำคัญ คือ พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช และ พระเจ้าจันทรภาณุศรีธรรมราช
ภาพที่ 2 แผนภาพแสดงอาณาเขตอิทธิพลของอาณาจักรตามพรลิงค์
มีข้อสันนิษฐานว่าอาณาจักรตามพรลิงค์นี้เป็นเส้นทางการเผยแพร่พระพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์ ไปยังอาณาจักรสุโขทัย และดินแดนทั่วแหลมมลายู เนื่องจากอาณาจักรตามพรลิงค์กับศรีลังกามีความสัมพันธ์แบบบ้านพี่เมืองน้องมาแต่สมัยโบราณ เหตุการณ์อื่น ๆ ของอาณาจักรตามพรลิงค์ที่สำคัญ เช่น
ในเขตจังหวัดนครศรีธรรมราชปรากฏว่ามีร่องรอยเมืองโบราณ ตลอดจนชุมชนโบราณอยู่หลายแห่งด้วยกัน จากหลักฐานทางด้านโบราณคดี ในเมืองโบราณเหล่านี้ สันนิษฐานว่าเมืองหลวงของอาณาจักรคงมีการโยกย้ายหลายครั้งตามลำดับ ดังนี้
1. เมืองบ้านท่าเรือ (ติดเขตตำบลท่าเรือ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช) เป็นที่ตั้งเมืองยุคแรก เมืองบ้านท่าเรือ ตั้งอยู่ในทำเลที่เหมาะสมในการติดต่อค้าขายทางทะเลมาก มีลำน้ำออกสู่ทะเลได้โดยสะดวก เรือเดินทะเลสามารถเข้าถึง เป็นเมืองขนาดเล็ก มีพื้นที่ทำนาเพาะปลูกได้น้อย โบราณวัตถุและโบราณสถานที่พบ เช่น เครื่องมือหินขัดในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เทวสถานในศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู พระพุทธรูป ลูกปัด เป็นต้น
2. เมืองพระเวียง (ติดเขตตำบลศาลามีชัย อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช) เป็นที่ตั้งเมืองหลวงในยุคที่ 2 เป็นเมืองขนาดใหญ่ขึ้น อยู่ในทำเลที่มีพื้นที่ทำนาและเพาะปลูกมากขึ้น สามารถเลี้ยงพลเมืองจำนวนมากที่เพิ่มขึ้นได้ โบราณวัตถุและโบราณสถานที่พบในเขตเมืองพระเวียงมีอายุเก่าถัดมาจากเมืองบ้านท่าเรือ
3. เมืองนครศรีธรรมราช (บริเวณที่ตั้งศาลากลางจังหวัดในปัจจุบัน) เป็นที่ตั้งเมืองยุคที่ 3 เป็นเมืองขนาดใหญ่ สร้างขึ้นในสมัยสุโขทัยหรืออยุธยาตอนต้น โบราณวัตถุและโบราณสถานที่พบส่วนใหญ่มีอายุในสมัยอยุธยา
1. เมืองไชยา ตั้งอยู่ถัดลงไปทางด้านใต้ ศูนย์กลางอยู่ที่อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี กำเนิดขึ้นพร้อม ๆ กับเมืองตามพรลิงค์ ในระยะแรกต่างเป็นอิสระไม่ขึ้นต่อกัน แต่บางสมัยเมืองไชยา (ในช่วงที่เป็นศูนย์กลางของอาณาจักร ศรีวิชัย) ก็สามารถผนวกตามพรลิงค์อยู่ใต้อำนาจ ต่อมาในยุคหลังเมืองไชยากลับตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรตามพรลิงค์ในฐานะเมืองอุปราช และคงจะอยู่ในฐานะดังกล่าวเรื่อยมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
2. เมืองสทิงพระ คือ บริเวณโดยรอบทะเลสาบสงขลา ในท้องที่จังหวัดสงขลาและพัทลุง ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยอยุธยา
คำว่า ตามพรลิงค์ และ นครศรีธรรมราช เป็นคำเก่ามีมาแต่เดิม ปรากฏในเอกสารหลายฉบับทั้งของไทย และของต่างชาติ แต่ละคำต่างมีเรียกเพี้ยนแตกต่างกันออกไปตามสำเนียงภาษาของแต่ละชนชาติที่เข้ามาในระยะเวลาแตกต่างกัน ได้แก่
1. ตามพลิงคม หรือ ตมพลิงคม (Tambalingam) เป็นคำเรียกเก่าสุดโดยชาวอินเดีย เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 7-8 (มีอยู่ในคัมภีร์ภาษาบาลี ชื่อ มหานิเทศ ที่กล่าวถึงการเดินทางของนักเผชิญโชคว่าหากต้องการความร่ำรวยก็ให้ไปยังดินแดนเหล่านี้)
2. ตามพรลิงค (Tambralinga) เป็นคำเรียกเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 11
3. มัทธมาลิงคัม (Madamalingam) เป็นคำเรียกในศิลาจารึกของกษัตริย์องค์สำคัญของอินเดียภาคใต้ คือ พระเจ้าราเชนทรโจฬะที่ 1 (ศิลาจารึกมีอายุระหว่างปี พ.ศ. 1573-1574) กล่าวถึงชื่อเมืองที่พระองค์ทรงส่งกองทัพเรือไปโจมตีได้ แต่เรียกชื่อเพี้ยนไป)
4. ตัน-มา-ลิง (Tan – ma – ling) เป็นชื่อที่นักจดหมายเหตุจีนได้เขียนไว้
5. ตมลิงคาม (Tamalingama) เป็นชื่อที่ชาวลังกาเรียก (อยู่ในคัมภีร์อักษรสิงหล ชื่อ Sanne)
6. ศรีธรรมราช เป็นชื่อในศิลาจารึกหลักที่ 24 สลักขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1773 พบที่วัดเวียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ต่อมาชื่อนี้ปรากฏในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงแห่งกรุงสุโขทัย พ.ศ. 1835
7. สิริธรรมนคร ปรากฏในหนังสือบาลีเรื่อง จามเทวีวงศ์ ที่พระโพธิรังสี พระเถระชาวเชียงใหม่ แต่งขึ้นเมื่อราวต้นพุทธศตวรรษที่ 21 (หมายถึงชื่อเมืองหรือนคร ถ้าชื่อพระมหากษัตริย์ก็จะเรียกว่าพระเจ้าสิริธรรมนคร หรือพระเจ้าสิริธรรมราช และยังปรากฏในหนังสือ ชินกาลมาลีปกรณ์ และในหนังสือ นิทานพระพุทธสิงห์ เรียกว่า พระเจ้าศรีธรรมาราช)
8. ลิกอร์ (Ligor) เป็นชื่อที่พ่อค้าชาวโปรตุเกสที่เข้ามาติดต่อค้าขายกับไทยในสมัยอยุธยาตอนต้นเป็นชาติแรกเรียก บางครั้งก็เรียกว่า ละกอร์ (Lagor) เพี้ยนมาจาก คำว่า นคร ซึ่งเป็นชื่อย่อของเมืองนครศรีธรรมราช
9. นครศรีธรรมราช เป็นชื่อที่คนไทยฝ่ายเหนือเรียก (ศรีธรรมราช เป็นคำเรียกตำแหน่งเจ้าเมือง แต่ใช้เรียกเป็นชื่อเมืองด้วย) และเรียกกันมาจนถึงปัจจุบัน
จากหลักฐานด้านเอกสารและหลักฐานทางด้านโบราณคดี พบว่าอาณาจักรตามพรลิงค์หรืออาณาจักรนครศรีธรรมราช มีผู้นับถือศาสนาด้วยกัน 2 ศาสนา คือ
เมื่ออาณาจักรฟูนันล่มสลายลงในพุทธศตวรรษที่ 11 นั้น ดินแดนบริเวณคาบสมุทรมลายูได้มีการตั้งอาณาจักรศรีวิชัย (เอกสารจีนโบราณ เรียก "ชิลิโฟชิ" หรือ "คันโทลี" หรือ "โคยิง") ขึ้นภายใต้การนำของราชวงศ์ไศเลนทร์ (ราชาแห่งภูเขา) สอดคล้องกับชื่อที่ปรากฏในศิลาจารึกวัดเสมาเมืองใช้อักษรปัลลวะ ภาษาสันสกฤต ระบุปี พ.ศ. 1318 กล่าวถึง พระเกียรติคุณของพระเจ้ากรุงศรีวิชัย และสรรเสริญคุณของพระองค์
อาณาจักรศรีวิชัยนี้มีอาณาเขตตั้งแต่เมืองปาเล็มบัง ในเกาะสุมาตราของอินโดนีเซียขึ้นมาถึงบริเวณแหลมโพธิ์ตำบลพุมเรียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี และเมืองท่า (ตามพรลิงค์) ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ในบางช่วงเวลาอาจครอบคลุมพื้นที่แหลมมลายู เกาะชวา เกาะสุมาตรา ช่องแคบมะละกา ช่องแคบซุนดา ด้วย ซึ่งจะส่งผลให้อาณาจักรศรีวิชัยสามารถควบคุมเส้นทางค้าขายระหว่างจีนกับอินเดียรวมทั้งอาหรับเปอร์เซียและยุโรปได้
ที่มหาวิทยาลัยนาลันทา เป็นมหาวิทยาลัยของคณะพระสงฆ์นิกายมหายาน ในแค้วนเบงกอล ประเทศอินเดีย มีการพบหลักฐานที่กล่าวถึงการติดต่อกับราชวงศ์ปาละแห่งเบงกอล ว่าอาณาจักรศรีวิชัยได้ส่งพระภิกษุไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยนาลันทา ซึ่งกษัตริย์แห่งเบงกอลก็ให้การต้อนรับอย่างดี และทางเบงกอลก็ได้ส่งพระภิกษุ และช่างฝีมือดี มาเผยแผ่พุทธศาสนา และสอนศิลปะสมัยปาละแก่ชาวนครศรีวิชัยด้วย จึงเป็นการแสดงให้เห็นว่าอาณาจักรศรีวิชัยเป็นอาณาจักรที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ในระดับหนึ่งเพราะสามารถส่งคณะสงฆ์เดินทางไปศึกษายังอินเดียได้ และยังมีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างกันด้วย
ข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับศูนย์กลางอำนาจอาณาจักรศรีวิชัย เชื่อกันว่าน่าจะอยู่ที่เมืองปาเล็มบัง ตั้งอยู่บนเกาะสุมาตรา ในประเทศอินโดนีเซีย และนักวิชาการบางท่านเสนอว่าน่าจะอยู่บริเวณเมืองไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เนื่องจากมีการพบหลักฐานเป็นศิลาจารึกที่กล่าวถึงชื่อดังกล่าว มีการสร้างงานศิลปกรรมมากมายและมีฝีมือดีที่สำคัญ คือ รูปพระโพธิสัตว์อวโลติเกศวร และพื้นที่ยังเหมาะสมที่จะติดต่อกับอินเดียกับโลกภายนอก
ประชาชนทางแหลมมลายูเดิมส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนา แต่ก็ได้ติดต่อกับพ่อค้าอาหรับมุสลิมที่เดินทางผ่านเพื่อไปยังประเทศจีน ดังนั้นในเวลาต่อมาศาสนาอิสลามจึงได้เผยแพร่ไปยังมะละกา กลันตัน ตรังกานู ปาหงะ และปัตตานี จนต่อมาได้กลายเป็นรัฐอิสลามไป
ความเสื่อมสลายเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 1568 เมื่ออาณาจักรศรีวิชัยถูกอาณาจักรโจฬะ จากอินเดียตะวันออกเฉียงใต้ยกทัพเรือเข้าโจมตีทำให้อ่อนกำลังลง หลังจากนั้นหลังจากอาณาจักรศรีวิชัยก็หมดอำนาจลง จนมาถึงสมัยอยุธยาที่บ้านเมืองเริ่มกลับมามีความสำคัญอีกครั้ง
หลักฐานด้านโบราณคดีที่สำคัญส่วนสำคัญพบในเขตพื้นที่อำเภอไชยา เช่น พระบรมธาตุไชยา เจดีย์ที่วัดแก้ว เจดีย์ที่วัดเวียง เจดีย์ที่วัดหลง และพระโพธิสัตว์อวโลติเกศวร