ประวัติศาสตร์ไทยสมัยก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 (ก่อนสมัยสุโขทัย)
ประวัติความเป็นมาของชนชาติไทย
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
รัฐโบราณในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้: ฟูนัน-สุวรรณภูมิ
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
33%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
33%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
รัฐโบราณในบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา: ทวารวดี (อู่ทอง นครปฐม และละโว้)
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
33%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
67%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
รัฐโบราณในบริเวณภาคใต้ของไทย: ลังกาสุกะ ตักโกละ ตามพรลิงค์ และศรีวิชัย
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
รัฐโบราณในบริเวณภาคเหนือของไทย: โยนกเชียงแสน และหริภุญชัย
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
33%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
ประวัติศาสตร์ไทยสมัยหลังพุทธศตวรรษที่ 19 (สมัยการสถาปนาราชธานีของอาณาจักรไทย)
กรุงสุโขทัย
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
33%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กรุงศรีอยุธยา
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
67%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
33%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กรุงธนบุรี
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กรุงรัตนโกสินทร์ ช่วงรัชกาลที่ 1-3
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
33%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กรุงรัตนโกสินทร์ ช่วงรัชกาลที่ 4-5
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
100%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กรุงรัตนโกสินทร์ ช่วงรัชกาลที่ 6-8
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
33%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กรุงรัตนโกสินทร์ ช่วงรัชกาลที่ 9
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
67%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
100%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
บุคคลสำคัญกับการสร้างสรรค์วัฒนธรรมไทย
บุคคลสำคัญในช่วงก่อนกรุงรัตนโกสินทร์
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
บุคคลสำคัญในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ 1
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
บุคคลสำคัญในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ 2
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
บุคคลสำคัญในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ 3
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
บุคคลสำคัญในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ 4
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
บุคคลสำคัญในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ 5
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย

ประวัติความเป็นมาของชนชาติไทย

ยอดวิว 0

แบบฝึกหัด

EASY

ประวัติความเป็นมาของชนชาติไทย (ชุดที่ 1)

HARD

ประวัติความเป็นมาของชนชาติไทย (ชุดที่ 2)

news

ประวัติความเป็นมาของชนชาติไทย

เนื้อหา

ความเป็นมาของชนชาติไทย

        นักวิชาการและผู้สนใจจำนวนมาก ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศที่พยายามศึกษาค้นคว้าถึงถิ่นกำเนิดของชนชาติไทย ต่างก็มีความเห็นแตกต่างกันเป็นหลายแนวคิด บ้างก็ว่าอยู่ไกลถึงเทือกเขาอัลไตตอนเหนือของประเทศจีน บ้างก็ว่าอยู่ทางตอนกลางหรือตอนใต้ของประเทศจีน บ้างก็ว่าอยู่แถบคาบสมุทรมลายู และหมู่เกาะอินโดนีเซีย และบ้างก็ว่าอยู่ในดินแดนที่เป็นประเทศไทยปัจจุบันนี้เอง

        แนวความคิดเหล่านี้ต่างก็มีเหตุผลและหลักฐานสนับสนุนพอสมควร มีทั้งผู้เห็นด้วยและผู้คัดค้าน ในอนาคตอาจมีหลักฐานเพิ่มเติมซึ่งอาจทำให้เราเชื่อแนวคิดใดแนวคิดหนึ่ง หรืออาจมีแนวคิดใหม่เกิดขึ้นอีกก็ได้

แนวความคิดที่ 1 – เชื่อว่าถิ่นกำเนิดของไทยอยู่บริเวณเทือกเขาอัลไต

        เจ้าของแนวความคิดที่เชื่อว่าชนชาติไทยมีถิ่นกำเนิดอยู่บริเวณเทือกเขาอัลไต ซึ่งอยู่ในมองโกเลียทางตอนเหนือของประเทศจีนนี้ คือ ดร. วิลเลียม คลิฟตัน (Dr. William Clifton Dodd) หมอสอนศาสนา ชาวอเมริกัน ผู้เข้ามาอยู่อาศัยในเมืองไทยนานถึง 32 ปี และได้เดินทางสำรวจจากภาคเหนือของไทยไปในพม่า, ลาว, เวียดนาม จนถึงมณฑลยูนาน, กวางสี, กวางเจา, และกวางตุ้งในจีน ภายหลังเขาได้เขียนผลการค้นคว้าของตนไว้ในหนังสือชื่อ The Tai Race: Elder Brother of the Chinese มีใจความว่า คนไทยมีเชื้อสายมองโกล แล้วต่อมาได้อพยพลงมาทางตอนใต้ จนถึงดินแดนซึ่งปัจจุบันเรียกว่า คาบสมุทรอินโดจีน

        หลักฐานสำคัญที่ใช้ในการสนับสนุน คือ เอกสารของจีน โดยพิจารณาความคล้ายคลึงด้านภาษาและขนบธรรมเนียมประเพณี ว่ามีความคล้ายคลึงกันระหว่างชน กลุ่มน้อยในไทยกับจีน

        ความคิดที่ว่ากำเนิดของชนชาติไทยอยู่ที่เทือกเขาอัลไตนี้ ขุนวิจิตรมาตรา (รองอำมาตย์โทสง่า กาญจนาคพันธุ์) ข้าราชการที่มีความสนใจประวัติศาสตร์ไทย มีความเห็นสอดคล้องกับแนวความคิดนี้ จึงได้นำมาขยายความต่อ โดยได้ศึกษาค้นคว้าและเขียนผลงานออกเผยแพร่ในหนังสือชื่อ “หลักไทย” ซึ่งพิมพ์เผยแพร่เมื่อปี พ.ศ. 2471 มีข้อความตอนหนึ่งกล่าวไว้ดังนี้

        “... ในชั้นแรกทีเดียว ไทยจะมีชาติภูมิอยู่ตรงไหนนั้น ไม่มีทางทราบได้ชัด แต่อาจกล่าวได้กว้าง ๆ ว่ามีแหล่งเดิมอยู่ในบริเวณภูเขาอัลไตอันเป็นบ่อเกิดของพวกมองโกลด้วยกันเท่านั้น ภายหลังจึงแยกลงมาข้างใต้ มาตั้งภูมิลำเนาใหญ่โตขึ้นในลุ่มน้ำเหลือง ขณะที่จีนแยกไปเรียงรายอยู่ตามชายทะเลสาบแคสเปียนทางด้านตะวันตก พร้อมกันกับพวกตาตา ซึ่งเที่ยวไปมาอยู่แถวทะเลทรายชาโมหรือโกบีใกล้ ๆ กับบ้านเกิดนั้นเอง พวกไทยได้ชัยภูมิเป็นอู่ข้าวอู่น้ำบริบูรณ์ดีกว่าพวกอื่น ๆ จึงเจริญก้าวหน้ากว่าบรรดาสายมองโกลด้วยกัน...”

        ปัจจุบันมีผู้คัดค้านแนวความคิดนี้มาก เนื่องจากหลักฐานที่มีอยู่ไม่เพียงพอ ยกตัวอย่างเช่น การพบภาพเขียนสีที่หน้าผาทางด้านใต้ของเทือกเขาอัลไตเป็นภาพสัตว์ต่าง ๆ ภาพคนขี่ม้าล่าสัตว์ ภาพการเลี้ยงปศุสัตว์ ภาพการฟ้อนรำ แสดงให้เห็นความเป็นอยู่และวัฒนธรรมของกลุ่มชนเร่ร่อน มิใช่วัฒนธรรมของไทย ประกอบกับเทือกเขาอัลไตอยู่ในเขตหนาว ซึ่งอยู่ห่างไกลจากประเทศไทยในปัจจุบันมาก หากมีการอพยพโยกย้ายลงมาจริงก็จะต้องผ่านอากาศหนาวเย็น และทะเลทรายอันกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยความทุรกันดารเป็นระยะทางยาวไกล ยากที่จะมีชีวิตรอดมาเป็นจำนวนมากได้


แนวความคิดที่ 2 – เชื่อว่าถิ่นกำเนิดของไทยอยู่ในบริเวณมณฑลเสฉวน

        มณฑลเสฉวนนี้อยู่ในตอนกลางของประเทศจีน ศาสตราจารย์ แตร์รีออง เดอ ลาคูเปอรี (Terrien de Lacouprie) แห่งมหาวิทยาลัยลอนดอน เป็นผู้เสนอแนวความคิดนี้ เมื่อปี พ.ศ. 2428

        ลาคูเปอรีได้แนวความคิดนี้จากการค้นคว้าประวัติศาสตร์ และภาษาโบราณของจีน โดยเสนอความเห็นไว้ในบทนำของหนังสือ Amongst the Shans ตีพิมพ์ที่อังกฤษในปี พ.ศ. 2428 ในบทความนี้ ลาคูเปอรีสรุปว่าคนชาติไทยเดิมตั้งถิ่นฐานอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลเสฉวน

        ความเป็นมาของชนชาติไทยตามแนวความคิดของลาคูเปอรีนี้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงแสดงทัศนะในแนวเดียวกันไว้ในพระนิพนธ์เรื่อง แสดงบรรยายพงศาวดารสยาม ซึ่งเป็นหนังสือรวมบทบรรยายของพระองค์ที่ทรงบรรยายไว้ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อปี พ.ศ. 2467 ว่าดินแดนแถบประเทศไทย แต่เดิมเป็นถิ่นที่อยู่ของพวกละว้า, มอญ, เขมร คนไทยอยู่แถบทิเบตติดต่อกับเขตแดนจีน (มณฑลเสฉวนปัจจุบัน) ราวปี พ.ศ. 500 ถูกจีนรุกราน จึงอพยพมาอยู่ที่ยูนนาน และแยกย้ายกันไปทางตะวันตก คือ เงี้ยว, ฉาน, ทางใต้คือ สิบสองจุไทย และทางตอนล่างคือ ล้านนา, ล้านช้าง

        สำหรับนักวิชาการไทยท่านอื่น ๆ แม้ผลงานจะปรากฏในช่วงเวลาแตกต่างกัน แต่ประเด็นของเรื่องก็สอดคล้องกัน เช่น

ศาสตราจารย์ พระยาอนุมานราชธน (เสถียรโกเศศ) ได้กล่าวไว้ในหนังสือที่เขียนขึ้นจากการรวบรวมข้อมูลเอกสารชื่อ เรื่องของชาติไทย (พ.ศ. 2483) ว่าถิ่นเดิมของคนไทยอยู่ทางตอนกลางของประเทศจีนในลุ่มแม่น้ำแยงซีฝั่งซ้ายตั้งแต่มณฑลเสฉวนไปจดทะเลทางตะวันออก
พระบริหารเทพธานี กล่าวไว้ในผลงาน ซึ่งได้จากการศึกษาค้นคว้าคือ เรื่องพงศาวดารชาติไทย (พ.ศ. 2496) ว่าถิ่นเดิมของไทยอยู่บริเวณตอนกลางของจีน ต่อมาอพยพลงมาที่มณฑลยูนนาน และค่อย ๆ ลงมาทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
หลวงวิจิตรวาทการ ท่านได้แสดงทัศนะไว้ในหนังสือสยามกับสุวรรณภูมิ (พ.ศ. 2467) และงานค้นคว้าเรื่องชนชาติไทย (พ.ศ. 2499) สรุปว่าเดิมคนไทยอยู่ทางตอนกลางของจีนในดินแดนซี่งเป็นมณฑลเสฉวน หูเป่ย, อันฮุย, และเกียงซี ในปัจจุบัน แล้วค่อย ๆ อพยพลงมาสู่มณฑลยูนานและแหลมอินโดจีน

        ปัจจุบันได้มีหลักฐานการค้นคว้าใหม่ ๆ แย้งแนวความคิดนี้ว่าคนไทยเป็นพวกประกอบอาชีพการเพาะปลูกพืชเมืองร้อน โดยเฉพาะการปลูกข้าว จึงน่าจะอยู่ในที่ราบลุ่มในเขตร้อนชื้น มากกว่าบริเวณที่เป็นภูเขาอันฮุย หรือที่ราบสูงซึ่งมีอากาศหนาว


แนวความคิดที่ 3 – เชื่อว่าถิ่นกำเนิดของไทยอยู่ทางตอนใต้ของจีน

        บริเวณทางตอนใต้ของจีนในที่นี้หมายถึง บริเวณซึ่งปัจจุบันเป็นมณฑลยูนานของจีน ตอนเหนือของเวียดนาม รัฐฉานของพม่า และรัฐอัสสัมของอินเดีย แนวความคิดนี้เสนอครั้งแรกโดยนักสำรวจชาวอังกฤษชื่อ อาร์ชิบัล รอสส์ โคลฮูน (Archibald Ross Colquhoun) เมื่อปี พ.ศ. 2428

        โคลฮูนเสนอแนวความคิดนี้ หลังจากเขาเดินทางสำรวจโดยออกเดินทางจากวางตุ้ง ประเทศจีนไปทางตะวันตกถึงเมืองมัณฑะเลย์ในพม่า ผลการสำรวจของเขาปรากฏอยู่ในหนังสือชื่อ ไครเซ (Chryse) ตีพิมพ์ที่อังกฤษเมื่อปี พ.ศ. 2428 ได้ข้อสรุปว่ามีคนเชื้อชาติไทยอาศัยอยู่ตามบริเวณที่เขาเดินทางผ่านไปโดยตลอด

        นักวิชาการตะวันตกที่มีความคิดเห็นสอดคล้องกับแนวความคิดนี้ที่สำคัญคือ อี เอช ปาร์คเกอร์ (E.H. Parker) และ โวลฟราม เอเบอร์ฮาร์ด (Wolfram Eberhard) ปาร์คเกอร์เคยเป็นกงสุลอังกฤษประจำเกาะไหหลำ และได้เขียนบทความเรื่อง น่านเจ้า พิมพ์เผยแพร่เมื่อปี พ.ศ. 2437 สรุปใจความสำคัญว่า น่านเจ้าซึ่งได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นอาณาจักรที่ยูนานนั้นเคยเป็นของไทย

เอเบอร์ฮาร์ด ศาสตราจารย์ชาวเยอรมันได้ศึกษาเรื่องนี้เมื่อ พ.ศ. 2491 และได้แสดงแนวความคิดไว้ในหนังสือชื่อ A History of China ยืนยันว่าคนไทยมีถิ่นกำเนิดใกล้ปากแม่น้ำแยงซี ในมณฑลเสฉวน ต่อมาได้อพยพถอยร่นลงมาจนถึงมณฑลยูนาน
นักวิชาการไทยที่มีผลงานการค้นคว้าที่สอดคล้องกับแนวความคิดนี้คือ พระยาประชากิจกรจักร (แช่ม บุนนาค) ผู้แต่งหนังสือ พงศาวดารโยนก ซึ่งเชื่อว่าถิ่นกำเนิดของชนชาติไทยอยู่กระจัดกระจายในบริเวณตอนใต้ของจีน รวมไปถึงรัฐอัสสัมของอินเดีย ท่านได้เล่าถึงวิธีการศึกษาค้นคว้าของท่านไว้ในคำนำหนังสือพงศาวดารโยนกว่า ข้าพเจ้าได้สอบสวนกับพงศาวดารพม่า รามัญ ไทยใหญ่ ล้านช้าง และพงศาวดารจีน พงศาวดารเหนือ พระราชพงศาวดารสยาม และพงศาวดารเขมรกับหนังสือต่าง ๆ ในภาษาอังกฤษด้วย หนังสือเรื่องนี้พิมพ์เป็นเล่มครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2450 เนื้อหาแต่ละตอนล้วนเกี่ยวกับเรื่องราวการอพยพของคนไทยจากตอนใต้ของประเทศจีนทั้งสิ้น
ศาสตราจารย์ ขจร สุขพานิช (พ.ศ. 2456-2521) ซี่งเคยเป็นกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทยก็มีความเชื่อว่าถิ่นกำเนิดของคนไทยอยู่ทางตอนล่างของจีน หลังจากที่ได้ค้นคว้าหลักฐานทางฝ่ายไทยตรวจสอบกับความเห็นของ อีเบอร์ฮาร์ด และหมอดอดด์ แล้วลงความเห็นว่า คนไทยมีถิ่นกำเนิดเดิมอยู่ตอนใต้ของจีนในเขตมณฑลกวางตุ้ง กวางสี ต่อมาได้อพยพมาทางตะวันตก ตั้งแต่มณฑลเสฉวนลงล่างเรื่อยมาจนเข้าเขตสิบสองจุไทยลงมาในเขตประเทศลาว

        แนวความคิดนี้เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน นักวิชาการชาวตะวันตกบางท่านได้ขยายแนวความคิดนี้ออกไป ทำให้มีสมมุติฐานใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น อย่างเช่น มีข้อเสนอว่าถิ่นกำเนิดของคนไทยน่าจะอยู่มณฑลกวางสีและมณฑลกวางตุ้ง เพราะอยู่ในเขตร้อนชื้น บ้างก็ว่าน่าจะอยู่ห่างไกลจากน่านเจ้าไปทางตะวันออก คือ แนวเขตแดนระหว่างมณฑลกวางสีของจีนกับบริเวณที่ต่อกับเขตของเวียดนาม เป็นต้น


แนวความคิดที่ 4 – เชื่อว่าถิ่นกำเนิดของไทยอยู่ในแหลมมลายูและหมู่เกาะอินโดนีเซีย

        แนวความคิดนี้เสนอโดยกลุ่มวิชาการทางการแพทย์ของไทย เริ่มแต่ พ.ศ. 2500 เป็นต้นมาผู้เสนอความเห็น คือ นายแพทย์สมศักดิ์ สุวรรณสมบูรณ์ ได้ตรวจกลุ่มเลือดของคนไทย คนชวา และคนจีนพบว่า กลุ่มเลือดของคนไทยมีเปอร์เซ็นต์ความถี่ของยีนส์เหมือนกับของชาวเกาะชวา น่าจะมีความเกี่ยวข้องกันในทางใดทางหนึ่ง คนไทยจึงน่าจะเคยอาศัยอยู่ในหมู่เกาะชวา
        นายแพทย์ประเวศ พบว่า มีเฮโมโกลบิน อี  (Hgb. E) ในเลือดของคนภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยมาก เช่นเดียวกับที่พบในกลุ่มของชาวมอญ ละว้า และเขมร แต่แทบไม่พบในคนจีน จึงไม่น่าเป็นไปได้ที่คนไทยจะเคยอาศัยอยู่ในดินแดนประเทศจีน

พอล เบเนดิกต์ (Paul Benedict) นักภาษาศาสตร์ และมานุษยวิทยาชาวอเมริกัน ซึ่งเสนอความเห็นไว้เมื่อ พ.ศ. 2485 ว่าภาษาไทยเป็นภาษาตระกูลออสโตรนีเซียน (กลุ่มชวา–มลายู) คนเผ่าไทยจึงน่าจะเป็นชนชาติเดียวกับชวา–มลายู อันนำไปสู่การตั้งข้อสันนิษฐานว่า ชนชาติไทยน่าจะอพยพมาจากทางตอนใต้ คือ จากหมู่เกาะอินโดนีเซียและแหลมมลายู แล้วเลยขึ้นไปทางเหนือถึงบริเวณตอนใต้ของประเทศจีน และอาจอพยพถอยร่นลงมาอีกครั้งหนึ่ง จนสามารถตั้งถิ่นฐานถาวรอยู่ใน ดินแดนที่เป็นประเทศไทยปัจจุบัน

        แนวความคิดนี้แม้จะมีผู้เห็นด้วยอยู่บ้าง แต่ก็มีความคิดเห็นโต้แย้งอยู่ จึงจะต้องค้นหาหลักฐานอื่น ๆ มาประกอบให้แนวความคิดนี้มีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น


แนวความคิดที่ 5 – เชื่อว่าถิ่นกำเนิดของไทยอยู่ในอาณาบริเวณที่เป็นประเทศไทยปัจจุบัน

        อาณาบริเวณที่เป็นประเทศปัจจุบัน หมายถึง อาณาบริเวณที่เรียกว่า “สุวรรณภูมิ” ได้แก่ ดินแดนที่เป็นคาบสมุทรอินโดจีน ครอบคลุมถึงบริเวณตอนใต้ของจีนปัจจุบัน และตอนเหนือของพม่าปัจจุบัน ลงไปจนถึงแหลมมลายู

        แนวความคิดนี้เพิ่งเกิดเมื่อประมาณ พ.ศ. 2510 ภายหลังที่ได้มีการสำรวจขุดค้นทางโบราณคดีในประเทศไทยอย่างจริงจัง นักวิชาการคนสำคัญในกลุ่มแนวความคิดนี้ ได้แก่ ศาสตราจารย์นายแพทย์สุด แสงวิเชียร และ ศาสตราจารย์ชิน อยู่ดี


การสำรวจขุดค้นทางโบราณคดีในประเทศไทยเท่าที่ควรนำมากล่าว มีดังนี้

      1.  การสำรวจและขุดค้นที่บริเวณสองฝั่งแควน้อยและแควใหญ่ จังหวัดกาญจนบุรีของคณะสำรวจไทย-เดนมาร์ก เมื่อปี พ.ศ. 2503-2505 และ ปี พ.ศ. 2509
      2.  การสำรวจและขุดค้นที่บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี และพื้นที่ในเขตจังหวัดของแก่น สกลนคร และนครพนม ด้วยความร่วมมือของมหาวิทยาลัยฮาวาย สหรัฐอเมริกา และบริติชมิวเซียม ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมือ่ปี พ.ศ. 2509-2510

        จากการขุดพบโครงกระดูกที่จังหวัดกาญจนบุรี ศาสตราจารย์นายแพทย์สุด แสงวิเชียร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางกายวิภาคผู้ร่วมการสำรวจขุดค้นยืนยันว่าเป็นโครงกระดูกยุคหินใหม่อายุประมาณ 4,000 ปี มีลักษณะสำคัญตรงกับโครงกระดูกของคนไทยในปัจจุบัน น่าเชื่อว่าโครงกระดูกที่พบนั้นเป็นโครงกระดูกของคนไทย จึงน่าเป็นไปได้ว่า ถิ่นกำเนิดเดิมของคนไทย คือ บริเวณที่เป็นประเทศไทยเรานี้เอง ไม่ได้อพยพโยกย้ายมาจากที่ไหน
        สำหรับหลักฐานที่ขุดพบที่ตำบลบ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานีนั้น แม้นักวิชาการยังไม่อาจลงความเห็นสรุปว่าเป็นของบรรพบุรุษของคนไทยหรือไม่ แต่ก็เป็นหลักฐานบ่งบอกว่าได้มีชุมชนที่พัฒนามาถึงขั้นทำภาชนะดินเผาและเครื่องมือเครื่องใช้ในดินแดนที่เป็นประเทศไทยมาเป็นเวลาหลายพันปีมาแล้ว

        เมื่อนำมาประกอบความเห็นเรื่องเฮโมโกลบิน อี (Hgb. E) ของนายแพทย์ประเวศ วะสี ที่บอกว่าคนไทยไม่น่าจะเคยอาศัยอยู่ในประเทศจีน และไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดใด ๆ เกี่ยวกับการอพยพโยกย้ายของคนไทยเลย ทำให้น่าเชื่ออย่างยิ่งว่าคนไทยไม่ได้มาจากไหน แต่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในดินแดนที่เป็นอาณาบริเวณประเทศไทยนี้เอง และคงจะสืบเชื้อสายต่อเนื่องกันมานานแล้ว

        ตลอดเวลาอันยาวนานนั้น ชนชาติไทยย่อมต้องเคยตกอยู่ภายใต้อำนาจอิทธิพลของชนชาติอื่นที่ผลัดเปลี่ยนกันแผ่อำนาจเข้ามา เช่น มอญ และเขมร เป็นต้น หลักฐานทางโบราณคดีที่ขุดค้นพบที่มีอักษรจารึกเป็นภาษามอญบ้าง เขมรบ้าง และสันสกฤตบ้างนั้น คงจะแสดงถึงอำนาจอิทธิพลของชนชาติเหล่านั้นเท่านั้น

        หลักฐานทางโบราณคดี หลักฐานทางเฮโมโกลบิน อี และหลักฐานจากการมีผู้คนอาศัยอยู่ต่อเนื่องนี้ เป็นสิ่งยืนยันได้ว่าดินแดนนี้มีคนเข้ามาอยู่อาศัยมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นแหล่งกำเนิดของชนชาติได้