ประวัติศาสตร์ไทยสมัยก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 (ก่อนสมัยสุโขทัย)
ประวัติความเป็นมาของชนชาติไทย
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
รัฐโบราณในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้: ฟูนัน-สุวรรณภูมิ
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
33%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
33%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
รัฐโบราณในบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา: ทวารวดี (อู่ทอง นครปฐม และละโว้)
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
33%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
67%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
รัฐโบราณในบริเวณภาคใต้ของไทย: ลังกาสุกะ ตักโกละ ตามพรลิงค์ และศรีวิชัย
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
รัฐโบราณในบริเวณภาคเหนือของไทย: โยนกเชียงแสน และหริภุญชัย
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
33%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
ประวัติศาสตร์ไทยสมัยหลังพุทธศตวรรษที่ 19 (สมัยการสถาปนาราชธานีของอาณาจักรไทย)
กรุงสุโขทัย
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
33%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กรุงศรีอยุธยา
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
67%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
33%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กรุงธนบุรี
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กรุงรัตนโกสินทร์ ช่วงรัชกาลที่ 1-3
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
33%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กรุงรัตนโกสินทร์ ช่วงรัชกาลที่ 4-5
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
100%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กรุงรัตนโกสินทร์ ช่วงรัชกาลที่ 6-8
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
33%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กรุงรัตนโกสินทร์ ช่วงรัชกาลที่ 9
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
67%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
100%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
บุคคลสำคัญกับการสร้างสรรค์วัฒนธรรมไทย
บุคคลสำคัญในช่วงก่อนกรุงรัตนโกสินทร์
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
บุคคลสำคัญในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ 1
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
บุคคลสำคัญในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ 2
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
บุคคลสำคัญในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ 3
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
บุคคลสำคัญในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ 4
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
บุคคลสำคัญในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ 5
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย

กรุงรัตนโกสินทร์ ช่วงรัชกาลที่ 1-3

ยอดวิว 0

แบบฝึกหัด

EASY

กรุงรัตนโกสินทร์ ช่วงรัชกาลที่ 1-3 (ชุดที่ 1)

HARD

กรุงรัตนโกสินทร์ ช่วงรัชกาลที่ 1-3 (ชุดที่ 2)

news

กรุงรัตนโกสินทร์ ช่วงรัชกาลที่ 1-3

เนื้อหา

การสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์

        สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกทรงขึ้นครองราชย์เป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี มีพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จากนั้นจึงได้ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีแห่งใหม่ในปี พ.ศ. 2325 โดยพระองค์โปรดเกล้าให้ย้ายราชธานีมาตั้งที่ตำบลบางกอก ทางฟากตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งตรงข้ามกับพระราชวังเดิมของกรุงธนบุรี พระราชทานนามว่า "กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์"
         ชื่อนี้ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเปลี่ยนสร้อยนามใหม่เป็น “อมรรัตนโกสินทร์” และเนื่องจากเป็นราชธานีของอาณาจักรรัตนโกสินทร์ จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “กรุงรัตนโกสินทร์”


ภาพที่ 1  แผนผังกรุงรัตนโกสินทร์ช่วงกรุงต้น
ที่มา:
 https://en.wikipedia.org/wiki/Rattanakosin_Kingdom_(1782%E2%80%931932)#/media/File:Bangkok_(early_Rattanakosin)_map.svg

        เหตุผลที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชย้ายราชธานีเพราะทรงเห็นข้อบกพร่องของกรุงธนบุรี ดังนี้

  • กรุงธนบุรีเป็นเมืองอกแตก คือ ประกอบด้วยอาณาเขตทั้งสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อเกิดสงครามจะเกิดความลำบากในการลำเลียงอาหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ข้ามแม่น้ำ
  • กรุงธนบุรีตั้งอยู่ท้องคุ้ง น้ำเซาะตลิ่งพังไปเรื่อย ๆ ประกอบกับพระราชวังเดิมอยู่ในที่คับแคบเพราะมีวัดขนาบอยู่ทั้งสองข้าง ได้แก่ วัดแจ้ง (วัดอรุณราชวราราม) และวัดท้ายตลาด (วัดโมฬีโลกยาราม)

        ส่วนเหตุผลที่ทรงเลือกตำบลบางกอกเป็นที่ตั้งราชธานีใหม่ ได้แก่

  • ที่ตั้งราชธานีใหม่สามารถใช้แม่น้ำเจ้าพระยาเป็นคูเมืองด้านตะวันตกและด้านใต้ ส่วนคูเมืองด้านตะวันออกและด้านเหนือก็มีคลองคูเมืองเดิมอยู่แล้ว หากบ้านเมืองขยายตัวขึ้นก็ขุดคลองใหม่
  • ฝั่งพระนครมีอาณาบริเวณกว้างขวาง ขยายบ้านเมืองออกไปได้สะดวก

การเมืองสมัยรัตนโกสินทร์ ช่วงรัชกาลที่ 1-3

        ลักษณะทางการเมืองในสมัยรัตนโกสินทร์ช่วงรัชกาลที่ 1-3 มีลักษณะของความร่วมมือและการประณีประนอมทางการเมือง โดยรัชกาลที่ 1 ทรงเคยรับราชการเป็นขุนนางมาก่อนและทรงมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับขุนนางตระกูลอื่น ๆ (โดยเฉพาะตระกูลบุนนาค ซึ่งต่อมาจะมีบทบาททางการเมืองของกรุงรัตนโกสินทร์เป็นอย่างมาก ก่อนสมัยรัชกาลที่ 5) จึงเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้ลักษณะการเมืองในช่วงนี้ดำเนินไปภายใต้ลักษณะของความร่วมมือและการประณีประนอมทางการเมือง โดยอาศัยความสัมพันธ์ทางเครือญาติระหว่างพระราชวงศ์กับตระกูลขุนนาง

        ในสมัยรัชกาลที่ 2 ได้ทรงแต่งตั้งพระบรมวงศานุวงศ์กำกับราชการกรมสำคัญ ๆ ทำให้เกิดการร่วมมือกันในหมู่พระบรมวงศานุวงศ์และขุนนาง ดังที่กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ได้ขึ้นครองราชย์ก็เป็นผลมาจากการประนีประนอมและการตกลงร่วมกันระหว่างกลุ่มพระบรมวงศานุวงศ์กับกลุ่มขุนนาง

        นอกจากนี้ การที่พระมหากษัตริย์ทรงดำเนินนโยบายผ่อนปรนให้พระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางสามารถทำการค้าขายกับต่างประเทศได้ เปิดโอกาสให้แสวงหาทรัพย์สมบัติและความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ นับเป็นการตอบแทนความดีความชอบอย่างหนึ่งและยังมีผลต่อการรักษาสัมพันธภาพกับกลุ่มพระบรมวงศานุวงศ์และกลุ่มขุนนางไปด้วย

        ความมีเสถียรภาพและความมั่นคงของระบบการเมืองในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เกิดขึ้นจากการร่วมมือกัน การประนีประนอมและการสานประโยชน์ระหว่างกลุ่มผู้นำ ทำให้กรุงรัตนโกสินทร์สามารถฟื้นฟูสู่ความมั่นคงและรุ่งเรืองอย่างรวดเร็ว

เศรษฐกิจสมัยรัตนโกสินทร์ ช่วงรัชกาลที่ 1-3

        สมัยรัตนโกสินทร์ช่วงรัชกาลที่ 1-3 ก่อนทำสนธิสัญญาเบาว์ริง สภาพทางเศรษฐกิจยังคงอยู่ในรูปแบบของเศรษฐกิจแบบยังชีพ ราษฎรมีอาชีพทางการเกษตรเป็นหลัก พืชผลสำคัญ คือ ข้าว นอกจากนั้นก็มีฝ้าย ยาสูบ อ้อย ผลไม้ มีหัตถกรรมและอุตสาหกรรมพื้นบ้านแบบเก่าที่ทำด้วยมือ เช่น ทอผ้า ทำเครื่องปั้นดินเผา ทำน้ำตาล กระเบื้อง อิฐ เมื่อได้ผลิตผลก็นำมาแลกเปลี่ยนกัน

        ส่วนรายได้ของรัฐที่จะต้องนำมาใช้จ่ายในการป้องกันและทำนุบำรุงประเทศได้มาจากหลายแหล่งทั้งจากภาษีอากร เงินค่าราชการจากไพร่ เงินผูกปี้ข้อมือจีน รวมทั้งผลกำไรจากการค้ากับต่างประเทศ ในสมัยรัชกาลที่ 2 รัฐประสบปัญหารายได้ไม่พอกับรายจ่ายจึงเพิ่มภาษีอากรอีกหลายอย่าง

        ครั้งถึงสมัยรัชกาลที่ 3 เศรษฐกิจของประเทศมีการเจริญเติบโตขึ้นและการขยายตัวทางการค้ากับต่างประเทศมีปริมาณสูงขึ้น รัฐจึงปรับปรุงระบบการจัดเก็บภาษี โดยเพิ่มภาษีอีก 38 ชนิด ส่วนการเก็บภาษีก็ต่างจากสมัยอยุธยา กล่าวคือ นับจากสมัยรัชกาลที่ 3 เป็นต้นมา รัฐเปิดโอกาสให้เอกชนซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวจีนรับสัมปทานการจัดเก็บภาษีโดยวิธีประมูล ผู้ดำเนินการการจัดเก็บภาษีเรียกว่า เจ้าภาษีนายอากร

        การค้ากับประเทศต่าง ๆ ในเอเชียโดยเฉพาะการค้ากับประเทศจีนหรือที่เรียกว่า การค้าสำเภา เจริญรุ่งเรืองที่สุดในสมัยนี้ สินค้าส่งออกส่วนใหญ่ได้มาจากส่วยที่เรียกเก็บจากราษฎรซึ่งเป็นของพื้นเมืองที่หายาก เช่น ทองคำผง, เงิน, ป่าน, กระวาน, ครั่ง, ฝาง, ไม้แดง, งาช้าง, และนอระมาด

        สินค้าเข้าส่วนใหญ่จะเป็นประเภทสินค้าฟุ่มเฟือยซึ่งบริโภคในกลุ่มชนชั้นสูง ได้แก่ ผ้าฝ้าย, ผ้าแพร, เครื่องลายคราม, ใบชา, การบูร, หีบประดับมุก, เครื่องแก้ว

        ผู้ประกอบการค้าสำเภามีทั้งภาครัฐบาลซึ่งนำโดยพระมหากษัตริย์และหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง คือ กรมท่า และภาคเอกชน มีเจ้านาย ขุนนาง และพ่อค้าชาวจีน ในสมัยรัชกาลที่ 3 การค้าสำเภาเพิ่มจำนวนมากขึ้น ในปลายรัชกาลการค้าทางเรือได้เปลี่ยนจากใช้เรือสำเภามาเป็นเรือกำปั่นเพราะเดินทางได้เร็วกว่า นอกจากนี้พระองค์ยังได้โปรดเกล้าฯ ให้ต่อเรือกำปั่นขนาดใหญ่ขึ้นหลายลำ

สังคมสมัยรัตนโกสินทร์

        โครงสร้างสังคมสมัยรัตนโกสินทร์ช่วงนี้ยังคงเป็นแบบอยุธยาตอนปลาย ขณะเดียวกันสภาพเศรษฐกิจที่เริ่มขยายตัวทำให้มีความต้องการผลผลิตเพื่อการค้าเพิ่มขึ้น ชาวจีนหลั่งไหลเข้ามาเป็นแรงงานรับจ้างมากและได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ความต้องการและความจำเป็นในการใช้แรงงานเกณฑ์จากไพร่ลดน้อยลงตามลำดับ ฐานะของไพร่จึงได้รับการปรับปรุง มีการเปลี่ยนเวลาเข้าเวรของไพร่เสียใหม่จากปีละ 6 เดือนในสมัยอยุธยา มาเป็นปีละ 4 เดือนในสมัยรัชกาลที่ 1 ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 2 ลดการทำงานลงอีกเป็นปีละ 3 เดือน สำหรับไพร่ที่ไม่ต้องการเข้าเวรในเวลาปกติสามารถเสียเงินแทนได้ เรียกว่า เงินค่าราชการ

        ชนชาติอื่น ๆ นอกจากจีนก็มีมอญ ลาว พม่า ญวณ เขมร มลายู ซึ่งถูกกวาดต้อนเข้ามาเนื่องจากสงครามบ้างและเข้ามาด้วยความสมัครใจบ้าง ต่างแยกย้ายประกอบอาชีพตามจังหวัดต่าง ๆ พวกเชลยเหล่านี้กลายเป็นไพร่ มีสังกัดมูลนายและถูกสักข้อมือเป็นไพร่เหมือนคนไทย นอกจากนี้ยังมีชาวยุโรปและอเมริกันซึ่งเข้ามาเผยแพร่คริสต์ศาสนาด้วย แต่ก็มีจำนวนไม่มากนัก อย่างไรก็ตามชนกลุ่มน้อยนี้กลับมีบทบาทมากในสังคมไทยในฐานะผู้บุกเบิกการพัฒนาประเทศด้านการแพทย์และการศึกษา

ศิลปกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ช่วง รัชกาลที่ 1-3

        สมัยรัชกาลที่ 1 ศิลปกรรมต่าง ๆ ได้ค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นในลักษณะที่พยายามสืบต่อประเพณีของสมัยกรุงศรีอยุธยาโดยสังเกตได้จากการจำลองเอาแบบปราสาทราชมณเฑียร แผนผังสมัยกรุงศรีอยุธยา ชื่อวัด ชื่อคลอง ชื่อตำบลและชื่อถนนต่าง ๆ มาสร้างใหม่เป็นส่วนใหญ่ อาทิ 
วัดมหาธาตุ วัดราชบูรณะ

        สมัยรัชกาลที่ 2 ยังคงมีการสร้างงานศิลปกรรมแบบไทยประเพณีมาจากรัชกาลที่ 1 ศิลปกรรมที่สำคัญในสมัยนี้คือ ศีรษะหุ่นละครหลวงไทยฝีพระหัตถ์ในรัชกาลที่ 2 เรียกกันว่า พระยารักใหญ่กับพระยารักน้อย นอกจากนี้ยังมีบานประตูวิหารพระศรีศากยมุนี วัดสุทัศนเทพวราวรามที่สันนิษฐานว่ามีบางส่วนที่รัชกาลที่ 2 ทรงสลักด้วยพระองค์เอง

        สมัยรัชกาลที่ 3 มีการเปลี่ยนแนวความคิดจากแบบไทยประเพณีไปสู่ความนิยมแบบอย่างศิลปะจีน ที่เรียกว่า "ศิลปะแบบพระราชนิยม" เพราะในสมัยนี้มีการติดต่อกับจีนเป็นอย่างมาก ดังจะเห็นได้จากการสั่งตุ๊กตาหินจากจีนหรือที่เรียกว่า อับเฉา มาประดับประดาตามสถานที่ต่างๆ ศิลปกรรมที่สำคัญคือ วัดราชโอรส ซึ่งรัชกาลที่ 3 ทรงสร้างตั้งแต่เมื่อยังไม่ทรงขึ้นครองราชย์ ซึ่งเป็นวัดแห่งแรกที่ได้เริ่มเทคนิควิธีแบบจีนมาใช้ ดังจะเห็นได้จากการประดับกระเบื้องเคลือบแบบจีน การใช้สัญลักษณ์มงคลจีนต่าง ๆ