ประวัติศาสตร์ไทยสมัยก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 (ก่อนสมัยสุโขทัย)
ประวัติความเป็นมาของชนชาติไทย
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
รัฐโบราณในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้: ฟูนัน-สุวรรณภูมิ
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
33%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
33%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
รัฐโบราณในบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา: ทวารวดี (อู่ทอง นครปฐม และละโว้)
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
33%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
67%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
รัฐโบราณในบริเวณภาคใต้ของไทย: ลังกาสุกะ ตักโกละ ตามพรลิงค์ และศรีวิชัย
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
รัฐโบราณในบริเวณภาคเหนือของไทย: โยนกเชียงแสน และหริภุญชัย
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
33%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
ประวัติศาสตร์ไทยสมัยหลังพุทธศตวรรษที่ 19 (สมัยการสถาปนาราชธานีของอาณาจักรไทย)
กรุงสุโขทัย
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
33%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กรุงศรีอยุธยา
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
67%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
33%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กรุงธนบุรี
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กรุงรัตนโกสินทร์ ช่วงรัชกาลที่ 1-3
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
33%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กรุงรัตนโกสินทร์ ช่วงรัชกาลที่ 4-5
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
100%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กรุงรัตนโกสินทร์ ช่วงรัชกาลที่ 6-8
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
33%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กรุงรัตนโกสินทร์ ช่วงรัชกาลที่ 9
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
67%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
100%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
บุคคลสำคัญกับการสร้างสรรค์วัฒนธรรมไทย
บุคคลสำคัญในช่วงก่อนกรุงรัตนโกสินทร์
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
บุคคลสำคัญในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ 1
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
บุคคลสำคัญในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ 2
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
บุคคลสำคัญในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ 3
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
บุคคลสำคัญในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ 4
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
บุคคลสำคัญในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ 5
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย

เวลากับประวัติศาสตร์ไทย และยุคสมัยทางประวัติศาสตร์

ยอดวิว 0

แบบฝึกหัด

EASY

เวลากับประวัติศาสตร์ไทย และยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ (ชุดที่ 1)

HARD

เวลากับประวัติศาสตร์ไทย และยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ (ชุดที่ 2)

news

เวลากับประวัติศาสตร์ไทย และยุคสมัยทางประวัติศาสตร์

เนื้อหา

เวลากับประวัติศาสตร์ไทย

        ในการศึกษาประวัติศาสตร์จะมีความสัมพันธ์กับเวลา เพราะประวัติศาสตร์เป็นการศึกษาเรื่องราวในอดีตของมนุษย์ โดยศึกษาว่ามนุษย์มีวิถีการดำรงชีวิตอย่างไร มีความคิดอย่างไร มีผลงานใดบ้าง และการสร้างสรรค์ผลงานนั้นได้มีผลกระทบต่อพัฒนาการของมนุษย์ในอดีตและปัจจุบันอย่างไร จึงอาจกล่าวได้ว่าการดำเนินชีวิตด้านต่าง ๆ ของมนุษย์อยู่ภายใต้เงื่อนไขของเวลามาโดยตลอด แต่การที่มนุษย์สามารถสื่อสารเรื่องเวลากันได้ ก็เพราะมนุษย์มีความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับระบบการบอกเวลาอย่างตรงกัน มนุษย์ตั้งแต่สมัยโบราณ มีการกำหนดวันเวลาจากธรรมชาติ เช่น การขึ้นลงของดวงอาทิตย์นับเป็น 1 วัน การเกิดเงาบนดวงจันทร์จากที่พระจันทร์มืดสนิทจนสว่างเต็มดวง ใช้เวลา 15 วัน และจากที่สว่างเต็มดวงกลับไปมืดสนิท ใช้เวลาอีก 15 วัน ทำให้เกิดการกำหนดเวลา 1 เดือน ตามรูปร่างของดวงจันทร์ และ 1 ปี ตามการโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบ ทำให้เกิดการสร้างสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการบอกเวลา เช่น นาฬิกาแดด นาฬิกาน้ำ นาฬิกาทราย นาฬิกา จักรกล จนเป็นปฏิทินทั้งแบบสุริยคติ และจันทรคติ

ภาพที่ 1  นาฬิกาแดด

ภาพที่ 2  นาฬิกาทราย

ภาพที่ 3  นาฬิกาน้ำ

ภาพที่ 4 นาฬิกาจักรกล

        ในประวัติศาสตร์ไทยที่มีระยะเวลาหลายร้อยปี และได้เกิดเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์มากมาย นักประวัติศาสตร์จึงได้กำหนดช่วงเวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ขึ้นเพื่อให้ง่ายแก่การจดจำ เพื่อให้เข้าใจเหตุการณ์ตรงกัน และเพื่อให้รู้ลักษณะเด่นของยุคสมัยทางประวัติศาสตร์นั้น ๆ ตลอดจนให้ความสำคัญต่อปีศักราช โดยกำหนดเวลาเป็นพุทธศักราช (พ.ศ.) จุลศักราช (จ.ศ.) เป็นต้น สำหรับการกำหนดยุคสมัยทางประวัติศาสตร์จะกำหนดตามลักษณะเด่นของเหตุการณ์ เช่น เรากำหนดยุคสมัยที่มนุษย์ยังไม่มีตัวอักษรใช้เป็น “สมัยก่อนประวัติศาสตร์” และกำหนดยุคสมัยที่มีตัวอักษรใช้แล้วเป็น “สมัยประวัติศาสตร์” ส่วนการแบ่งยุคสมัยประวัติศาสตร์ในดินแดนไทยนิยมใช้เกณฑ์การแบ่งตามชื่ออาณาจักรหรือราชธานี การแบ่งตามสมัยของราชวงศ์ และการแบ่งตามลักษณะสำคัญของประวัติศาสตร์


การนับและการเทียบศักราชในประวัติศาสตร์ไทย

การนับศักราชแบบไทยมีหลายรูปแบบ สามารถแบ่งได้ดังนี้

      1.  พุทธศักราช (พ.ศ.) ใช้กันแพร่หลายในประเทศที่ประชาชนนับถือพระพุทธศาสนา เช่น ไทย, ลาว, พม่า, และกัมพูชา โดยไทยเริ่มปรากฏการใช้ พ.ศ. มาตั้งแต่สมัยอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แม้กระนั้นการใช้ พ.ศ. ก็ยังไม่เป็นทางการ โดยมีการประกาศใช้อย่างเป็นทางการในสมัยรัชกาลที่ 6 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน สำหรับประเทศไทยเริ่มนับ พ.ศ. 1 เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว 1 ปี
     2.  คริสต์ศักราช (ค.ศ.) เป็นศักราชสากล นิยมใช้ทั่วโลกโดยเฉพาะประเทศที่ประชาชนส่วนมากนับถือศาสนาคริสต์ โดยคริสต์ศักราชที่ 1 นับเมื่อพระเยซูประสูติ ซึ่ง ค.ศ. 1
ตรงกับ พ.ศ. 543 
     3.  มหาศักราช (ม.ศ.) เป็นศักราชที่เริ่มใช้ในอินเดีย ตั้งโดยพระเจ้ากนิษกะแห่งราชวงศ์ของชาวกุษาณะ และต่อมาได้แพร่หลายไปยังดินแดนที่ได้รับอารยธรรมอินเดีย มหาศักราชพบมากในจารึกสมัยสุโขทัยและจารึกในดินแดนไทยรุ่นแรก ๆ การเทียบ มหาศักราชเป็น พ.ศ. ให้บวกด้วย 621
    4.  ฮิจเราะห์ศักราช (ฮ.ศ.) เริ่มนับตั้งแต่ท่านนบีมูฮัมหมัดอพยพย้ายชาวมุสลิมหนีการตามล่าของพวกนอกศาสนาจากนครมักกะห์สู่นครมะดีนะห์ การเทียบฮิจเราะห์ศักราชเป็น พ.ศ. ให้บวกด้วย 1121
    5.  จุลศักราช (จ.ศ.) เป็นศักราชที่เกิดขึ้นบนดินแดนพม่าในสมัยอาณาจักรศรีเกษตร ของชาวปยู และได้รับการใช้เรื่อยมาจนถึงอาณาจักรพุกาม ของชาวพม่า ก่อนแพร่เข้ามาในดินแดนประเทศไทย พบมากในหลักฐานทางโหราศาสตร์ และนิยมใช้ในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ไทยสมัย
ต่าง ๆ ทั้งสมัยสุโขทัย อยุธยา รัตนโกสินทร์ตอนต้น และล้านนา การเทียบจุลศักราชเป็น พ.ศ. ให้บวกด้วย 1181
     6.  รัตนโกสินทร์ศก (ร.ศ.) เป็นศักราชที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริขึ้น และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ใช้ในกลางรัชสมัยของพระองค์ โดยเริ่มนับ ร.ศ. 1 ในปีที่สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี คือ พ.ศ. 2325 การเทียบรัตนโกสินทร์ศกเป็น พ.ศ. ให้บวกด้วย 2324
หลักเกณฑ์การเทียบศักราช
ม.ศ. + 621 = พ.ศ.
จ.ศ. + 1181 = พ.ศ.
ร.ศ. + 2324 = พ.ศ.
ค.ศ. + 543 = พ.ศ.
ฮ.ศ. + 1121 = พ.ศ.
พ.ศ. - 621 = ม.ศ.
พ.ศ. - 1181 = จ.ศ.
พ.ศ. - 2324 = ร.ศ.
พ.ศ. - 543 = ค.ศ.
พ.ศ. - 1121 = ฮ.ศ.


        นอกจากวัน เดือน ปี หรือศักราชแล้ว หลักฐานในประวัติศาสตร์ยังปรากฎการใช้ช่วงเวลาเป็น ทศวรรษ ศตวรรษ และสหัสวรรษ
        - ทศวรรษ (Decade) หมายถึงช่วงเวลา 10 ปี ปกติมักใช้กับคริสต์ศักราช เช่น ทศวรรษที่ 2000 หมายถึงช่วงเวลาระหว่าง ค.ศ. 2000-2009
        - ศตวรรษ (Century) หมายถึงช่วงเวลา 100 ปี ใช้ทั้งศริสต์ศักราช และพุทธศักราช เช่น พุทธศตวรรษที่ 25 หมายถึงช่วงเวลา พ.ศ. 2401-2500 หรือ พ.ศ.2560 ตรงกับพุทธศตวรรษที่ 26 ค.ศ. 2017 ตรงกับคริสต์ศตวรรษที่ 21
        - สหัสวรรษ (Millennium) หมายถึงช่วงเวลา 1,000 ปี ดังนั้นปัจจุบันเราอยู่ใน สหัสวรรษที่ 3 หมายถึง พ.ศ. 2001-3000

การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ไทย

        ประวัติศาสตร์ไทยใช้เกณฑ์การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์เช่นเดียวกันกับประวัติศาสตร์สากล คือใช้ตัวอักษรเป็นตัวกำหนดยุค แบ่งเป็นสมัยก่อนประวัติศาสตร์ คือ ยังไม่มีการใช้ตัวอักษรในสมัยนั้น และสมัยประวัติศาสตร์ คือ มีตัวอักษรเกิดขึ้นในสมัยนั้นแล้ว

        ปัจจุบันองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก ได้กำหนดสมัยกึ่งก่อนประวัติศาสตร์ หมายถึง ช่วงเวลาที่ผู้คนในสังคมนั้นยังไม่รู้จักใช้ตัวอักษรแต่มีผู้คนจากถิ่นอื่นมาจดบันทึกเรื่องราวของสังคมนั้น

      เกณฑ์การแบ่งยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์

        เราสามารถแบ่งยุคโดยใช้เกณฑ์ต่อไปนี้ 2 ประเภท คือ การแบ่งยุคตามการใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือเครื่องใช้ และการแบ่งยุคตามแบบแผนการดำรงชีวิต

       - การแบ่งยุคตามการใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือเครื่องใช้

          สมัยก่อนประวัติศาสตร์เป็นสมัยที่ยังไม่ปรากฏหลักฐานลายลักษณ์อักษร การแบ่งยุคสมัยจึงนิยมแบ่งตามนักโบราณคดี ซึ่งกำหนดยุคสมัยตามหลักฐานเครื่องมือเครื่องใช้ของมนุษย์ นิยมแบ่งช่วงเวลาออกเป็นยุคหินกับยุคโลหะ

          1.  ยุคหิน แบ่งย่อยออกเป็นยุคต่าง ๆ ดังนี้

              1) ยุคหินเก่า มีอายุประมาณ 700,000 ปีมาแล้ว ดังพบหลักฐานประเภทเครื่องมือหินกรวดกระเทาะหน้าเดียวเพื่อใช้สับ ตัด ขุด แหล่งที่พบ เช่น บ้านแม่ทะ จังหวัดลำปาง มนุษย์ยุคนี้เป็นพวกเร่ร่อน เก็บหาของป่า ล่าสัตว์ อยู่รวมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ

              2) ยุคหินกลาง มีอายุประมาณ 10,000 - 4,300 ปีมาแล้ว มนุษย์ยุคนี้ทำเครื่องมือเครื่องใช้ที่มีความประณีตขึ้น สามารถทำภาชนะดินเผาใช้ในชีวิตประจำวันโดยมีทั้งภาชนะแบบผิวเกลี้ยงและมีลวดลายที่เกิดจากการใช้เชือกทาบ แหล่งที่พบหลักฐานยุคหินกลาง เช่น ถ้ำไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี

              3) ยุคหินใหม่ มีอายุประมาณ 4,300 ปีมาแล้ว มนุษย์ยุคนี้รู้จักการตั้งถิ่นฐานทำเกษตรกรรม และเลี้ยงสัตว์ ทำเครื่องมือหินขัดที่มีความคม มีผิวเรียบ ทำเครื่องปั้นดินเผาแบบสามขา เช่น บ้านเชียง จังหวัดอุบลราชธานี, และบ้านเก่า จังหวัดกาญจนบุรี

         2.  ยุคโลหะ แบ่งออกได้ดังนี้

             1) ยุคสำริด มีอายุประมาณ 3,500 ปีมาแล้ว พบหลักฐานเครื่องมือสำริดที่เป็นอาวุธ เครื่องประดับ เครื่องมือเครื่องใช้ กลองสำริด เครื่องปั้นดินเผาลายเขียนสี เช่น บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี

             2) ยุคเหล็ก มีอายุประมาณ 2,500 ปีมาแล้ว พบเครื่องมือเหล็กที่ทนทานและใช้ประโยชน์ได้มากกว่าเครื่องมือสำริด เช่น บ้านดอนตาเพชร จังหวัดกาญจนบุรี สังคมยุคนี้มีความซับซ้อนมากขึ้น มีการติดต่อกับต่างถิ่น มีชนชั้น เห็นได้จากการฝังศพ ที่บางศพมีข้าวของเครื่องใช้และเครื่องประดับมากมาย แสดงถึงการเป็นบุคคลสำคัญ

      อย่างไรก็ตาม การกำหนดอายุของยุคหิน ยุคโลหะ ดังที่กล่าวมาเป็นการกำหนดในภาพรวม แต่ไม่ใช่ว่าทุกแห่งจะเริ่มหรือสิ้นสุดยุคสมัยพร้อมกันในช่วงเวลาเดียวกัน บางแห่งอาจจะเริ่ม และสิ้นสุดเร็วกว่า หรือช้ากว่ากันก็มี เพราะชุมชนมนุษย์แต่ละแห่งมีความเจริญไม่เท่ากัน

     การแบ่งตามลักษณะการดำรงชีวิตของผู้คน

         สามารถจัดแบ่งย่อยได้อีก 3 ยุคด้วยกัน ดังนี้

         1.  ยุคสังคมล่าสัตว์หรือหาของป่า มนุษย์หากินด้วยการล่าสัตว์ เก็บหาอาหาร ยังไม่มีที่พำนัก แน่นอน ยุคนี้ครอบคลุมช่วงเวลาประมาณ 2.5 ล้านปี – 8,000 ปีล่วงมาแล้ว

         2.  ยุคสังคมเกษตรกรรม มนุษย์รู้จักการดำรงชีพด้วยการเพาะปลูก เสี้ยงสัตว์ เริ่มต้นการตั้งถิ่นฐานอยู่รวมกัน จนเป็นสังคม ยุคนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 8,000 ปี – 6,000 ปีล่วงมาแล้ว

         3.  ยุคสังคมเมือง เป็นช่วงที่ชุมชนพัฒนาเป็นสังคมเมือง มีลักษณะเป็นเมืองเล็ก ๆ สังคมแบบนี้จะถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่เมื่อ 6,000 ปีล่วงมาแล้ว


       สมัยประวัติศาสตร์

        สมัยประวัติศาสตร์เป็นสมัยที่ปรากฏหลักฐานลายลักษณ์อักษร หลักฐานสมัยประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดในดินแดนไทย คือ ศิลาจารึก ในหลายพื้นที่พบศิลาจารึกที่อยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน เช่น ที่ศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่ซับจำปา จังหวัดลพบุรี ส่วนจารึกที่ปรากฏศักราชชัดเจนที่สุด คือ จารึกอักษรปัลลวะ เป็นภาษาสันสกฤตและเขมร พบที่ปราสาทเขาน้อย จังหวัดปราจีนบุรี ระบุมหาศักราช 559 หรือตรงกับ พ.ศ. 1180

        สำหรับการแบ่งสมัยประวัติศาสตร์ในดินแดนไทยโดยละเอียด มีดังนี้

         1.  สมัยอาณาจักรรุ่นแรก ๆ นับช่วงเวลาก่อนการตั้งอาณาจักรสุโขทัย เช่น อาณาจักรทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 11-16) อาณาจักรละโว้ (พุทธศตวรรษที่ 12-18) หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ เช่น ศิลาจารึก เหรียญจารึก รัฐโบราณเหล่านี้มีการสร้างสรรค์อารยธรรมภายใน และมีการแลกเปลี่ยนอารยธรรมจากภายนอก เช่น การรับพระพุทธศาสนา, ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู, การติดต่อค้าขายกับพ่อค้าต่างแดน เป็นต้น

         2.  สมัยสุโขทัย ตั้งแต่การสถาปนากรุงสุโขทัยเมื่อ พ.ศ. 1792 จนสุโขทัยถูกรวมเข้ากับกรุงศรีอยุธยาใน พ.ศ. 2006 สมัยสุโขทัยเป็นช่วงที่มีการสร้างสรรค์วัฒนธรรมหลายประการ เช่น ตัวหนังสือ การนับถือพระพุทธศาสนา การสร้างสรรค์ศิลปะที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตนเอง เช่น เจดีย์ทรงยอดดอกบัวตูม หรือทรงพุ่มข้าวบิณฑ์, พระพุทธรูปปางลีลา เป็นต้น

         3.  สมัยอยุธยา ตั้งแต่ พ.ศ. 1893-2310 สามารถแบ่งออกเป็นสมัยย่อยได้อีก โดยแบ่งตามสมัยของราชวงศ์ และแบ่งตามลักษณะสำคัญของประวัติศาสตร์

          1) แบ่งตามราชวงศ์ที่ปกครอง ได้แก่ ราชวงศ์อู่ทอง (พ.ศ. 1893-1913 และ พ.ศ. 1931-1952), ราชวงศ์สุพรรณภูมิ (พ.ศ. 1913-1931 และ พ.ศ. 1952-2112), ราชวงศ์สุโขทัย (พ.ศ. 2112-2173), ราชวงศ์ปราสาททอง (พ.ศ. 2173-2231), ราชวงศ์บ้านพลูหลวง (พ.ศ. 2231-2310)
         2) แบ่งตามลักษณะสำคัญของประวัติศาสตร์ ได้แก่
             (1) สมัยการวางรากฐานและการสร้างความมั่นคง เริ่มตั้งแต่การตั้งอาณาจักรเป็นสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (อู่ทอง) ใน พ.ศ. 1893 จนถึงสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) ใน พ.ศ. 1991 เป็นช่วงที่อาณาจักรยังมีขนาดเล็ก ต่อมาได้ขยายอำนาจไปโจมตีอาณาจักรขอม ทำให้ราชสำนักอยุธยาได้รับวัฒนธรรมเขมรเข้ามา รวมทั้งการทำการค้ากับต่างชาติ เช่น จีน
             (2) สมัยแห่งความมั่นคงทางการเมืองและความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจเริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 1991 ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถถึงสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชใน พ.ศ. 2231 เป็นช่วงที่ระบบการปกครองมีระเบียบแบบแผน มีความมั่นคง มีการติดต่อค้าขายกับต่างชาติอย่างกว้างขวาง
             (3) สมัยเสื่อมอำนาจ ตั้งแต่ พ.ศ. 2231-2310 เป็นสมัยที่มีกบฏภายใน มีการแย่งชิงอำนาจกันเองหลายครั้ง ส่งผลให้ราชสำนักอ่อนแอและเสียกรุงใน พ.ศ. 2310

        4.  สมัยธนบุรี ตั้งแต่ พ.ศ. 2310-2325 เป็นสมัยของการฟื้นฟูบ้านเมืองหลังเสียกรุงศรีอยุธยา มีการทำสงครามเกือบตลอดเวลา

        5.  สมัยรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่ พ.ศ. 2325 - ปัจจุบัน มีการแบ่งเป็นสมัยย่อยโดยยึดตามการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองและการปกครองร่วมกัน โดยแบ่งได้ดังนี้

        1) สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น (สมัยกรุงต้น) ตั้งแต่ พ.ศ. 2325-2394 อยู่ในช่วงสมัยรัชกาลที่ 1 - รัชกาลที่ 3 เป็นช่วงการฟื้นฟูอาณาจักรในทุกด้านต่อจากสมัยธนบุรี
        2) สมัยรัตนโกสินทร์ตอนกลาง (สมัยปฏิรูป) ตั้งแต่ พ.ศ. 2394-2475 อยู่ในช่วงสมัยรัชกาลที่ 4 - รัชกาลที่ 7 (ก่อนเหตุการณ์อภิวัฒน์สยาม) เป็นช่วงที่มีการติดต่อกับต่างชาติ
มีการปรับปรุงประเทศให้ทันสมัยตามแบบตะวันตก จนถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย
       3) สมัยประชาธิปไตย ตั้งแต่ พ.ศ. 2475 จนถึงปัจจุบัน เป็นช่วงที่มีการปกครองแบบประชาธิปไตย มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศประชาชนมีสิทธิเสรีภาพทางการเมือง บ้านเมืองขยายตัวอย่างรวดเร็ว