พระเจ้าอู่ทองทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีในปี พ.ศ. 1893 แล้วขึ้นครองราชย์เป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์อู่ทอง ทรงพระนามว่า สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1
ภาพที่ 1 พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระรามาธิบดี (พระเจ้าอู่ทอง)
ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88_1#/media/%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%A5%E0%B9%8C:Phrajaouthong06.jpg
จากพระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐฯ กล่าวว่า พระพุทธรูปวัดพนัญเชิง สร้างในปี พ.ศ. 1867 ก่อนการตั้งกรุงศรีอยุธยาถึง 26 ปี แสดงว่าก่อนที่จะมีการตั้งอาณาจักรอยุธยาพื้นที่บริเวณนี้มีชุมชนอาศัยอยู่แล้ว
ส่วนพระราชประวัติของพระเจ้าอู่ทองว่าพระองค์เป็นใคร มาจากไหน ก็ยังคลุมเครือหาข้อสรุปไม่ได้ แต่สันนิษฐานว่าพระเจ้าอู่ทองมีความสัมพันธ์อันดีกับแคว้นละโว้ (ลพบุรี) และแคว้นสุพรรณภูมิ (สุพรรณบุรี) จนสามารถรวมทั้งสองแคว้นตั้งเป็นอาณาจักรอยุธยาขึ้น
กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีที่มีความเจริญรุ่งเรือง มั่งคั่ง มั่นคงและมีความยิ่งใหญ่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นานถึง 417 ปี โดยมีปัจจัยสนับสนุน ดังนี้
1. ปัจจัยภายใน
2. ปัจจัยภายนอก
ในช่วงเวลานั้นเขมรหมดอิทธิพลที่เคยมีในดินแดนไทย จนกระทั่งไม่สามารถต้านทานกองทัพอยุธบาที่เข้าไปตีเขมร ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ได้
ภาพที่ 2 ภาพวาดกรุงศรีอยุธยา โดยบริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดา
ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%98%E0%B8%A2%E0%B8%B2#/media/%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%A5%E0%B9%8C:Gezicht_op_Judea,_de_hoofdstad_van_Siam_Rijksmuseum_SK-A-4477.jpeg
ในสมัยอยุธยาตอนต้น (พ.ศ. 1893-1991) สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ทรงขยายอำนาจไปยังเขมร ยึดเมืองนครธมของเขมรได้ในปี พ.ศ. 1896 แต่ยังรักษาสัมพันธไมตรีกับอาณาจักรสุโขทัย แม้จะยึดเมืองพิษณุโลกของสุโขทัยไว้ได้แต่ก็ยอมคืนให้
หลังสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 สวรรคต สมเด็จพระราเมศวร พระราชโอรส ครองราชย์ได้ปีเดียวก็ถูกสมเด็จพระบรมราชาธิบดีที่ 1 (ขุนหลวงพ่องั่ว, ขุนหลวงพะงั่ว) จากเมืองสุพรรณภูมิยกกองทัพมาชิงราชสมบัติและตั้งราชวงศ์สุพรรณภูมิขึ้น สมเด็จพระบรมราชาธิบดีที่ 1 ทรงขยายอำนาจไปทางเหนือยึดสุโขทัยเป็นประเทศราชได้ในปี พ.ศ. 1921 และทำสงครามกับอาณาจักรล้านนา (เป็นความขัดแย้งระหว่างเชื้อสายของราชวงศ์อู่ทองจากละโว้ และราชวงศ์สุพรรณภูมิจากสุพรรณภูมิ)
ในช่วงปี พ.ศ. 1931-1952 ราชวงศ์อู่ทองกลับมามีอำนาจอีกในสมัยสมเด็จพระราเมศวร ซึ่งทรงกลับมาชิงราชสมบัติและขึ้นครองราชย์เป็นครั้งที่ 2 หลังจากนั้นราชวงศ์สุพรรณภูมิก็กลับมาครองอำนาจอีก จนหลังสมัยสมเด็จพระมหินทราธิราช ราชวงศ์สุโขทัยจึงขึ้นมามีอำนาจแทนที่ทั้งสองราชวงศ์ (ช่วงเสียกรุงครั้งที่ 1 พระเจ้าบุเรงนอง กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรพม่า ได้อภิเษกขุนพิเรนทรเทพ ซึ่งมีเชื้อสายราชวงศ์พระร่วง ขึ้นเป็นพระมหาธรรมราชาธิราช ปกครองอาณาจักรอยุธยา)
การเมืองสมัยอยุธยาตอนต้นมีการแบ่งระดับความสำคัญของเมืองเป็นวงรอบ จากศูนย์ออกไปยังวงรอบนอก ได้แก่ ราชธานี, เมืองลูกหลวง, หัวเมืองระดับต่าง ๆ (ชั้นจัตวาถึงชั้นเอก) และหัวเมืองประเทศราช สำหรับเมืองลูกหลวง พระมหากษัตริย์จะโปรดฯส่งข้าราชการผู้ใหญ่ โดยเฉพาะพระมหาอุปราชไปปกครองอย่างอิสระ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ในอนาคต จึงเท่ากับเป็นช่องทางให้เกิดการสะสมกำลังคน และสร้างไมตรีกับเมืองอื่นเพื่อแข็งข้อเป็นอิสระจากราชธานี หรือไม่ก็ยกกำลังมาช่วงชิงราชสมบัติเมื่อสิ้นสมัยกษัตริย์องค์ก่อน
การปฏิรูปการปกครองในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแสดงถึงความพยายามของพระมหากษัตริย์ในการควบคุมอำนาจและบทบาททางการเมืองของพระบรมวงศานุวงศ์ ทรงลดความสำคัญของเมืองลูกหลวงลง และปรับปรุงระบบจตุสดมภ์เดิม (เวียง วัง คลัง นา) ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเพิ่มตำแหน่งเสนบดีอีก 2 ตำแหน่ง (สมุหนายก และสมุหพระกลาโหม) ทำให้กลุ่มขุนนางกลายเป็นสถาบันการเมืองที่เข้มแข็งและมีบทบาทการเมืองสูงมาก จนสามารถแย่งชิงอำนาจจากพระมหากษัตริย์ได้ในเวลาต่อมา
หลังการเสียกรุงศรีอยุธยาปี พ.ศ. 2112 ไม่นานอยุธยาค่อย ๆ ฟื้นฟูกลับคืนสู่ความมีเสถียรภาพ และความมั่นคงทางการเมืองในสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ด้วยความช่วยเหลือของพระราชโอรสทั้งสองพระองค์ คือ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชและสมเด็จพระเอกาทศรถ อยุธยาประกาศอิสรภาพจากพม่าในปี พ.ศ. 2127 โดยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และได้ทำสงครามต่อต้านการรุกรานของพม่าจนได้รับชัยชนะ สงครามครั้งสำคัญคือ สงครามยุทธหัตถี ในปี พ.ศ. 2135 ทำให้กรุงศรีอยุธยาไม่มีกองทัพข้าศึกใด ๆ มาโจมตีเมืองหลวงต่อมาอีกนานถึงเกือบสองศตวรรษ
สภาพการณ์ทางการเมืองของอาณาจักรอยุธยาในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช มีความเป็นปึกแผ่น ศูนย์กลางอำนาจที่เมืองหลวงมีความมั่นคง ทำให้เจ้าเมืองไม่มีโอกาสสั่งสมกำลังยกกองทัพมาแย่งชิงอำนาจที่กรุงศรีอยุธยา พระบรมวงศานุวงศ์ถูกจำกัดอำนาจและบทบาท นอกจากบางพระองค์ที่ทรงไว้วางพระทัย ส่วนขุนนางถูกควบคุมด้วยระเบียบและการบังคับบัญชาที่เข้มงวดเด็ดขาด พระราชอำนาจและสถานภาพของพระมหากษัตริย์จึงมีสูงมาก
อย่างไรก็ตาม เสถียรภาพที่มั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์อยุธยาดำรงอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง จนถึงสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมทรงขึ้นเสวยราชย์โดยการสนับสนุนของเหล่าขุนนาง ทำให้พระองค์ทรงถ่วงดุลอำนาจทางการเมืองระหว่างกลุ่มขุนนางด้วยกัน โดยทรงอนุญาตให้เหล่าขุนนางแสวงหาผลประโยชน์อย่างกว้างขวางจากการค้าระหว่างประเทศ เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้ขุนนางกลุ่มต่าง ๆ แสวงหาความมั่งคั่งและอำนาจ ขณะเดียวกันกับที่ภาวะสงครามที่อยุธยาต้องเผชิญมาหลายทศวรรษยุติลง ส่งผลให้การค้าต่างประเทศฟื้นตัวสู่ภาวะปกติ ขุนนางผู้ใหญ่สามารถสะสมทรัพย์สินจนมีฐานะมั่นคงเกิดการรวมกลุ่มเพื่อพิทักษ์ปกป้องผลประโยชน์ วิกฤตการณ์ทางการเมืองเกิดขึ้นเมื่อสิ้นสมัยพระเจ้าทรงธรรม และขุนนางกลุ่มต่าง ๆ ได้ต่อสู้แย่งชิงอำนาจกัน จนกระทั่งในที่สุดออกญากลาโหมสามารถปราบปรามขุนนางกลุ่มต่าง ๆ พร้อมทั้งปลดพระอาทิตยวงศ์ออกจากราชสมบัติ แล้วปราบดาภิเษกสมเด็จพระเจ้าปราสาททองขึ้นเป็นกษัตริย์
สมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองและสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีการควบคุมขุนนางอย่างเข้มงวดด้วยวิธีการต่าง ๆ และมีการรับขุนนางชาวต่างชาติเข้ารับราชการ
สมัยอยุธยาตอนปลายมีการแย่งชิงราชสมบัติเกือบทุกรัชกาล ผู้ชนะก็จะได้เป็นกษัตริย์และกำจัดฝ่ายพ่ายแพ้ หมุนเวียนเช่นนี้จนกระทั่งสิ้นสุดสมัยอยุธยาใน พ.ศ. 2310
1. การเกษตร เป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สำคัญของอยุธยา ประชาชนส่วนใหญ่เป็นชาวนา ข้าวเป็นพืชที่สำคัญที่สุด การปลูกข้าวทำกันในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่และความเอื้ออำนวยของธรรมชาติทำให้การปลูกข้าวในแถบนี้ได้ผลิตผลมาก และเป็นผลให้มีผู้คนจากแหล่งอื่นเข้ามาอาศัยทำมาหากินจำนวนมาก อีกทั้งอยุธยามีนโยบายสนับสนุนให้พลเมืองหักร้างถางพงบุกเบิกที่นาทำการเพาะปลูก
นอกจากเศรษฐกิจของอยุธยาจะอาศัยผลิตผลจากข้าวแล้ว รัฐยังมีรายได้จากอากรค่านา ซึ่งประชาชนจะจ่ายเป็นข้าวเปลือกให้แก่ฉางหลวงทุกปี เรียกว่า หางข้าว ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าในสมัยอยุธยาตอนต้นเก็บในอัตราละกี่ถัง แต่ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเปลี่ยนจากการเก็บ หางข้าวมาเก็บเป็นเงินโดยเก็บไร่ละสลึง
ข้าวยังเป็นสินค้าส่งไปขายต่างประเทศอีกด้วย ปรากฏหลักฐานว่าอยุธยาส่งข้าวและพืชพันธุ์ธัญญาหารไปขายที่มะละกา บริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดาที่เมืองปัตตาเวียเป็นลูกค้าข้าวรายสำคัญและมีการส่งข้าวปริมาณมากขายให้จีนในสมัยอยุธยาตอนปลาย นอกจากนี้รัฐยังเก็บข้าวเป็นเสบียงไว้ใช้ในเวลาสงคราม การเพาะปลูกจึงเป็นรากฐานที่สร้างความมั่นคงและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจให้แก่สังคมอยุธยา
2. การค้า การค้าภายในและการค้าต่างประเทศ (การค้าทางทะเล) เป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สร้างความมั่งคั่งให้รัฐ ทั้งพระมหากษัตริย์ พระราชวงศ์ และขุนนาง
เนื่องจากเศรษฐกิจของอยุธยาเป็นแบบยังชีพ การค้าภายในจึงทำกันอย่างจำกัด แบบแลกเปลี่ยนซื้อขายระหว่างผู้มีผลิตผลอย่างหนึ่งกับผู้มีผลิตผลอีกอย่างหนึ่ง ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงผลิตเครื่องยังชีพเกือบทุกชนิดขึ้นใช้เอง การค้าภายในเป็นระบบการแลกเปลี่ยนสินค้าที่ขาดแคลนภายในท้องถิ่นและระหว่างท้องถิ่น
ในด้านการค้าระหว่างประเทศ รัฐใช้วิธีผูกขาดการค้าโดยผ่าน พระคลังสินค้า มีการกำหนดรายการสินค้าผูกขาดและสินค้าต้องห้าม แต่รัฐมิได้เข้าไปควบคุมการผลิตโดยตรง เพียงแต่ราษฎรต้องขายผลิตผลที่เป็นสินค้าออกเกือบทั้งหมดให้รัฐผ่าน "พระคลังสินค้า" และรัฐเป็นผู้ขายสินค้าต่างประเทศทุกชนิดแก่ราษฎร แต่ราษฎรสามารถขายสินค้าที่ไม่ใช่สินค้าส่งออกหรือสินค้าต้องห้ามได้อย่างค่อนข้างอิสระ การดำเนินงานของพระคลังสินค้าเป็นไปในลักษณะของการผูกขาดการค้า กล่าวคือ ทำหน้าที่เป็นคนกลางในการซื้อขายสินค้าสำคัญกับราษฎร และพ่อค้าชาวต่างชาติ ทั้งราษฎรและชาวต่างชาติต้องซื้อสินค้าผ่านพระคลังสินค้าเท่านั้น
การค้าต่างประเทศของไทยสมัยอยุธยาผูกพันอยู่กับสินค้าประเภทของป่าเป็นสำคัญ และมีสินค้าประเภทอื่น ๆ เช่น อาหาร แร่ เครื่องสังคโลก การผูกขาดการค้าโดยพระคลังสินค้า ทำให้อยุธยาสามารถกอบโกยความมั่งคั่งจากการค้าไ้ด้อย่างมหาศาล
กิจกรรมการค้าที่เฟื่องฟูในสมัยอยุธยานำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมทำให้ชนชั้นปกครองซึ่งเป็นผู้ดำเนินกิจกรรมการค้ากับต่างประเทศมีความมั่งคั่งร่ำรวย มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี มีโอกาสใช้ของฟุ่มเฟือย และช่วยเสริมสร้างอำนาจทางการเมือง แต่สำหรับชนชั้นล่างในสังคมอยุธยาชีวิตไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก เพราะมีฐานะเป็นเพียงผู้ผลิตเท่านั้น
3. การเก็บภาษีอากร ราษฎรหรือไพร่ในสมัยอยุธยาจะมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับพระมหากษัตริย์หรือรัฐผ่านการเก็บภาษีอากร โดยราษฎรหรือไพร่มีหน้าที่ที่จะต้องเสียภาษีอากรให้พระมหากษัตริย์เป็นการตอบแทนที่พระองค์ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ราษฎรเข้าไปทำมาหากินในที่ดินของพระองค์ เพราะตามแนวคิดของสังคมไทยในสมัยนั้นถือว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเจ้าของที่ดินทั้งหมดในราชอาณาจักร ภาษีอากรที่พระมหากษัตริย์เก็บได้จากราษฎรจะนำไปใช้จ่ายในการบริหารราชอาณาจักร นอกจากภาษีอากรแล้ว รัฐยังมีรายได้จากจกอบ (จังกอบ) ส่วย ฤชา ภาษีสินค้าขาเข้าและภาษีสินค้าขาออกจากการค้าระหว่างประเทศ
ในสมัยอยุธยา โครงสร้างทางสังคมเป็นแบบเจ้าขุนมูลนาย มีการจัดระบบที่มีผลให้เกิดการแบ่งชนชั้นในสังคมเป็น 2 ระบบอย่างชัดเจน คือ ระบบไพร่และระบบศักดินา
1. ระบบไพร่ เป็นวิธีการที่รัฐควบคุมแรงงานของประชาชนตามระดับชั้น โดยการให้มูลนายระดับต่าง ๆ ควบคุมไพร่ทุกคนจะต้องขึ้นทะเบียนสังกัดกับหัวหน้าของตน ถ้าไพร่ไร้สังกัดจะถูกส่งเข้าเป็นคนของหลวง หรือ "ไพร่หลวง" คือ สังกัดกรมกองในราชธานี มีอัครมหาเสนาบดี เสนาบดีและขุนนางเป็นหัวหน้าควบคุม แยกเป็นกรมต่าง ๆ โดยขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์ มีหน้าที่ถูกเกณฑ์แรงงานในการทำงานสาธารณประโยชน์ เช่น สร้างกำแพงเมือง ขุดลอกคูคลอง เป็นต้น
เมื่อมีการปฏิรูปการปกครองในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ มีการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางมากขึ้น เจ้าเมืองและมูลนายตามหัวเมือง จะถูกควบคุมโดยเสนาบดีที่เมืองหลวง ไพร่ตามหัวเมืองจึงต้องขึ้นสังกัดกรมกองในราชธานีด้วย ทำให้ไพร่ส่วนใหญ่กลายเป็นไพร่สังกัดกรมต่าง ๆ หรือเป็นไพร่หลวง ส่วนไพร่ที่พระมหากษัตริย์พระราชทานให้พระบรมวงศานุวงศ์ หรือขุนนาง เรียกว่า ไพร่สม มีหน้าที่รับใช้นายของตน
2. ระบบศักดินา เป็นการจัดระเบียบทางสังคมด้วยการจำแนกฐานะสังคมของประชาชนตั้งแต่สูงสุดจนถึงต่ำสุด กำหนดหน้าที่ ความรับผิดชอบ อภิสิทธิ์และสิทธิต่าง ๆ ที่บุคคลในแต่ละระดับชั้นในสังคมสามารถจะมีได้ตามกฎหมาย โดยมีจำนวนที่นาหรือศักดินามากน้อยเป็นเครื่องแสดงบ่งชี้ฐานะสูงต่ำตามลำดับ เช่น เจ้านายหรือพระบรมวงศานุวงศ์ กำหนดศักดินาระหว่าง 500-100,000 ศักดินาระหว่าง 400-10,000 คือ พวกข้าราชการหรือขุนหมื่นต่ำกว่า 400 ลงมา ยังไม่ถือว่าเป็นขุนนาง พระสงฆ์ศักดินาระหว่าง 100-2,400
1. ชนชั้นปกครอง ประกอบด้วย
1.1 พระมหากษัตริย์ มีฐานะเป็นผู้ปกครองและผู้นำสูงสุด ทรงมีหน้าที่ดูแลทุกข์สุขของไพร่ฟ้าอาณาประชาราษฎร์ รักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมด้วยการตราพระราชกำหนดกฎหมาย จัดวางระเบียบสังคมและตัดสินกรณีพิพาทต่าง ๆ ทำนุบำรุงพระศาสนา ตลอดจนศิลปวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของสังคม และหน้าที่สำคัญที่สุดอีกประการหนึ่งของพระมหากษัตริย์ คือ ทรงเป็นผู้นำในการต่อสู้ป้องกันการรุกรานของศัตรูจากภายนอก
1.2 พระราชวงศ์หรือเจ้านาย หมายถึง ผู้สืบสายใกล้ชิดของพระมหากษัตริย์ซึ่งมีตำแหน่งลดหลั่น ลงมา มีหน้าที่ช่วยพระมหากษัตริย์ในการปกครอง เจ้านายมีสิทธิเหนือสามัญชนหลายประการ เช่น ไม่ถูกเกณฑ์แรงงาน ไม่ต้องเสียภาษี ได้รับผลประโยชน์จากไพร่ในสังกัด และได้รับพระราชทานเบี้ยหวัดประจำปี เมื่อเจ้านายมีคดีความศาลกรมวังเท่านั้นที่จะพิจารณาคดี
1.3 ขุนนางหรือข้าราชการ คือ กลุ่มสามัญชนที่ได้รับราชการในตำแหน่งต่าง ๆ สามัญชนที่รับราชการและได้รับพระราชทานศักดินาตั้งแต่ 400-1,000 จะได้รับการยกย่องว่าเป็น ขุนนาง ถ้าศักดินาต่ำกว่า 400 ยังไม่ถือว่าเป็นขุนนาง
ขุนนางมีอำนาจหน้าที่บังคับบัญชากรมกองต่าง ๆ ที่ได้รับมอบหมาย ควบคุมไพร่พลจัดเก็บภาษีจากไพร่พลในสังกัดและภาษีที่อยู่ในบังคับบัญชากรมกอง รวมไปถึงพิจารณาอรรถคดีต่าง ๆ ที่อยู่ในอำนาจของกรมกองที่ตนบังคับบัญชา ในยามสงครามขุนนางต้องเกณฑ์ไพร่พลในกรมกองให้ครบตามจำนวนออกไปรบตามคำสั่งด้วย
รายได้หลักของขุนนางมาจากการปฏิบัติหน้าที่ เช่น ค่าธรรมเนียม ภาษีอากรที่เก็บจากประชาชนอาชีพต่าง ๆ รวมทั้งพ่อค้าชาวต่างชาติ โดยนำเข้าท้องพระคลังหลวง ส่วนที่เหลือนำมาจัดแบ่งเฉลี่ยกันเอง
สำหรับสิทธิของขุนนางนั้น ทั้งตัวขุนนางและครอบครัวได้รับการยกเว้นไม่ต้องถูกเกณฑ์แรงงาน ไม่ต้องเสียภาษี มีไพร่ในสังกัดตามฐานันดรศักดิ์ ไม่ต้องไปศาลเอง มีสิทธิใช้ทนายไปให้การในศาลแทน ขุนนางจะถูกสอบสวนต่อเมื่อพระมหากษัตริย์ทรงอนุญาต ขุนนางมีสิทธิเข้าเฝ้าตามลำดับยศศักดิ์ มีเสมียนทนาย มีเครื่องยศต่าง ๆ เช่น หีบหมากเงิน หีบหมากทอง ช้าง ม้า ข้าคน ที่ดิน แต่สิ่งเหล่านี้จะต้องถวายคืนเมื่อถึงแก่กรรมหรือลาออกจากราชการ
1.4 พระสงฆ์ เป็นบุคคลที่มีลักษณะพิเศษกว่าบุคคลอื่นในสังคมไทย กล่าวคือ เป็นผู้ที่มีฐานะอันศักดิ์สิทธิ์ในสังคม สามัญชนไม่ว่าตำแหน่งฐานะใด หรือแม้แต่พระมหากษัตริย์ก็ต้องให้ความเคารพพระสงฆ์ด้วยการกราบไหว้ คณะสงฆ์ยังดำรงฐานะชนชั้นนำทางจิตใจของชนชั้นสามัญกับชนชั้นสูง สถาบันสงฆ์ยังเป็นที่พึ่งพิงของคนทุกชนชั้นในสังคม ทั้งทางจิตใจและพิธีกรรมทุก ๆ อย่างตั้งแต่เกิดจนตาย เทศนาสั่งสอนอบรมศีลธรรมจรรยาและแนวทางการดำเนินชีวิต ตลอดจนเป็นแหล่งถ่ายทอดศิลปวิทยาการหรือความรู้แขนงต่าง ๆ
พระสงฆ์ได้รับการยกเว้นจากทางราชการไม่ต้องถูกเกณฑ์แรงงานหรือเข้าเวรทำงานให้มูลนายตลอดเวลาที่อุปสมบทอยู่ นอกจากนี้วัดต่าง ๆ มีที่ดินไร่นาซึ่งมีผู้ศรัทธาถวายไว้ เรียกว่า ที่ดินกัลปนา และมีข้าพระคอยทำงานบนที่ดินของสงฆ์ให้เกิดประโยชน์ ผลประโยชน์บนที่ดินกัลปนานั้นวัดไม่ต้องเสียภาษี วัดหลายวัดจึงมั่งคั่งร่ำรวย
2. ชนชั้นที่ถูกปกครอง ประกอบด้วย
2.1 ไพร่หรือสามัญชน ในสังคมสมัยอยุธยา รัฐกำหนดให้ไพร่หรือสามัญชนทุกคนมีสังกัดอยู่ในการควบคุมดูแลของมูลนาย ต้องเสียภาษีและถูกเรียกเกณฑ์แรงงานรับใช้ในกิจการของรัฐ ทั้งนี้รัฐจะตอบแทนโดยการให้ความคุ้มครองชีวิต ทรัพย์สิน และสิทธิที่ไพร่พึงมีตามกฎหมาย
ไพร่ในสมัยอยุธยาแบ่งเป็น 2 ชนิด ในด้านสถานะและสิทธิทางสังคมของไพร่ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคม มีหน้าที่ทำการผลิตเพื่อเลี้ยงสังคม ผลิตผลจากแรงงานไพร่เป็นสินค้าส่งไปขายต่างประเทศ ไพร่ยังต้องถูกเกณฑ์แรงงาน เสียภาษีอากรให้แก่รัฐ และเป็นทหารในยามที่บ้านเมืองมีศึกสงคราม หรือแม้แต่เมื่อเกิดการแย่งชิงอำนาจในหมู่ชนชั้นปกครอง กำลังไพร่พลของแต่ละฝ่ายนับเป็นส่วนสำคัญในการวัดฐานะอำนาจของเจ้านายและขุนนาง
2.2 ทาส เป็นกลุ่มคนที่มีฐานะต่ำที่สุดของสังคม ถือเป็นทรัพย์สินและสามารถตกทอดเป็นมรดกและเป็นแรงงานทำหน้าที่รับใช้เจ้านาย มูลนาย และราชการ ข้าหรือทาสแบ่งเป็นหลายประเภท เช่น ทาสเชลย ทาสสินไถ่ สำหรับการควบคุมข้าหรือทาสนั้นไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด ในสมัยอยุธยาทาสถูกกำหนดศักดินาไว้เพียง 5 และถูกควบคุมอย่างเคร่งครัดโดยมีการตราเป็นกฏหมายลักษณะทาส
ทาสทุกประเภท ยกเว้นทาสเชลย ความเป็นทาสมิได้ถาวรตลอดไปเพราะสังคมอยุธยาเปิดช่องทางให้ทาสมีโอกาสที่จะเป็นไทได้ คือ เมื่อทาสนำเงินค่าตัวมาไถ่ถอนตัวเองก็จะเป็นอิสระ และอีกทางหนึ่งคือ การหลุดพ้นตามบทบัญญัติกฎหมาย ส่วนทาสเชลย รวมทั้งลูกทาสเชลย ไม่มีสิทธิที่จะซื้ออิสรภาพของตนเองและไม่มีสิทธิอื่น ๆ ในสังคมไทย
ในสมัยสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศ) ซึ่งครองราชย์นาน 9 ปี กรุงศรีอยุธยาก็เสียแก่พม่าเป็นครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2310
ปัจจัยที่ทำให้อาณาจักรอยุธยาเสื่อมลง ได้แก่
1. ปัจจัยภายใน ที่สำคัญ คือ
2. ปัจจัยภายนอก ได้แก่ การขยายอำนาจของพม่า ในระยะนั้นพม่ามีความเข้มแข็ง สามารถยกทัพมาล้อมกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่ พ.ศ. 2308 จนฝ่ายไทยพ่ายแพ้ในปี พ.ศ. 2310