ขนบธรรมเนียมประเพณี ความเชื่อ และศาสนา ที่มีอยู่ในแต่ละท้องถิ่นเป็นวัฒนธรรมเฉพาะของแต่ละท้องถิ่นที่มีอยู่ในภูมิภาคนั้น ๆ คนไทยและเยาวชนไทยควรตระหนักถึงคุณค่าและเรียนรู้ เพื่อทำให้เกิดจิตสำนึกและความภาคภูมิใจในความเป็นไทยอันจะนำไปสู่การสร้างสรรค์และความเข้าใจระหว่างกัน
เป็นวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเฉพาะวัฒนธรรมของชาวล้านนาที่ยังคงยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณีของพระพุทธศาสนา ที่แสดงออกถึงมิตรไมตรีและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน มีการสืบทอดมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน จึงถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญยิ่งที่คนท้องถิ่นในภาคเหนือยังรักษาไว้จนถึงปัจจุบัน ในที่นี้จะกล่าวถึงตัวอย่างวัฒนธรรมที่สำคัญ
1. ด้านอาหาร
ประเพณีเลี้ยงข้าวแลงขันโตกหรือกิ๋นข้าวแลงขันโตก เป็นประเพณีของชาวล้านนา ผู้ที่อาศัยอยู่ในจังหวัดทางภาคเหนือตอนบนและใช้ภาษาไทยภาคเหนือเป็นภาษาพูด มีการตกแต่งสถานที่อย่างสวยงามมีอาหารภาคเหนือมากมายหลายชนิด เจ้าภาพและแขกเหรื่อจะแต่งกายแบบพื้นเมืองทั้งชายหญิง งานเลี้ยงขันโตกจะเริ่มด้วยขบวนแห่นำขบวนขันโตกด้วยสาวงามช่างฟ้อน ตามมาด้วยคนหาบกระติบหลวง ขบวนแห่นี้จะผสมผสานกับเสียงดนตรีโห่ร้องแสดงความชื่นชมยินดี เมื่อมาถึงงานเลี้ยงแล้วก็จะนำกระติบหลวงไปวางไว้กลางงานแล้วนำข้าวนึ่งในกระติบแบ่งปันใส่กระติบเล็ก ๆ แจกจ่ายไปตามโตกต่าง ๆ จนทั่วบริเวณงาน ซึ่งมีโตกใส่สำหรับกับข้าวเตรียมไว้ก่อนแล้ว อาหารที่เลี้ยงกันนั้นนอกจากจะมีข้าวนึ่งเป็นหลักแล้ว ก็มีกับข้าวแบบของชาวเหนือ คือ แกงฮังเล แกงอ่อม, แกงแค, ไส้อั่ว, น้ำพริกอ่อง, น้ำพริกหนุ่ม, แคบหมู, ผักสด, และของหวาน เช่น ขนมปาด, ข้าวแต๋น เป็นต้น
2. ด้านศาสนาและลัทธิความเชื่อ
การทำบุญทอดผ้าป่าแถว จะกระทำกันในเขตจังหวัดกำแพงเพชร โดยกระทำพร้อมกันทุกวัดในคืนวันลอยกระทงหรือวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 โดยชาวบ้านแต่ละครอบครัวเรือนจะจัดหากิ่งไม้ เทียนไข ผ้า ข้าวสาร อาหารแห้ง ผลไม้ และบริขารของใช้ต่าง ๆ พอตกกลางคืนเวลาราว 19.00 น. ชาวบ้านจะนำองค์ผ้าป่าไปไว้ในลานวัด จัดให้เป็นแนวเป็นระเบียบแล้วนำผ้าพาดบนกิ่งไม้ นำเครื่องไทยธรรมที่เตรียมไว้มาวางใต้กิ่งไม้พอถึงเวลามรรคนายกวัดจะป่าวร้องให้เจ้าของผ้าป่าไปจับสลากรายนามพระภิกษุ
เมื่อได้นามพระภิกษุแล้วเจ้าของผ้าป่าจะเอามากลัดติดไว้กับผ้าที่ห้อยอยู่บนกิ่งไม้ของตน และพากันหลบไปแอบอยู่ในเงามืดเฝ้ารอดูด้วยความสงบว่าพระภิกษุรูปใดจะมาชักผ้าป่าของตน เมื่อพระภิกษุชักผ้าป่าเรียบร้อยแล้ว พระภิกษุทุกรูปจะไปนั่งรวมกันแล้วให้ศีลเจริญพระพุทธมนต์ อวยพร เมื่อเสร็จสิ้นเสียงพระสงฆ์ มหรสพต่าง ๆ จะทำการแสดงทันที
งานทำบุญตานก๋วยสลากหรือการทำบุญสลากภัต (ทานสลาก) จะทำในช่วงวันเพ็ญเดือน 12 (วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12) ถึงเดือนเกี๋ยงดับ (วันแรม 15 ค่ำ เดือน 12) หรือราวเดือนตุลาคม – พฤศจิกายนของทุกปี ชาวเหนือหรือชาวล้านนาไทยจะทำบุญตานก๋วยสลากหรือกิ๋นก๋วยสลาก โดยวันแรกแต่ละครอบครัวหรือคณะศรัทธาจะเตรียมงานต่าง ๆ หรือเรียกว่า “วันดา” ผู้หญิงจะไปจ่ายตลาดหาซื้อของ ส่วนผู้ชายจะเหลาตอกสานก๋วยไว้หลาย ๆ ใบ จากนั้นนำมากรุด้วยใบตองหรือกระดาษปิดมัดก๋วยรวมกันเป็นมัด ๆ สำหรับเป็นที่จับ ตรงส่วนที่ราบไว้นี้ ชาวบ้านจะเสียบไม้ไผ่และสอดเงินไว้เป็นเสมือนยอด
ก๋วยสลากมี 2 ชนิด คือ ก๋วยเล็กจะมียอดเงินไม่มากนักใช้เพื่ออุทิศส่วนกุศลไปให้ผีปู่ย่าตายายที่ล่วงลับหรืออุทิศส่วนกุศลเพื่อตนเองในภายภาคหน้า ส่วนอีกชนิดหนึ่งเป็นก๋วยใหญ่ เรียกว่าสลากโจ้ก (สลากโชค) ส่วนมากจะจัดทำขึ้นเพื่อให้อานิสงส์เกิดแก่ตนเอง ในภพหน้าจะได้มีกินมีใช้ มั่งมีศรีสุขเหมือนในชาตินี้
งานทำบุญตานก๋วยสลากหรืองานบุญสลากภัตมีคติสอนใจให้คนเรารู้จักรักใคร่สามัคคีกัน เกิดความปรองดองในหมู่ญาติพี่น้องและเพื่อนบ้าน ขณะเดียวกันในทางคติธรรมจะมีคติสอนใจพระสงฆ์และสามเณรไม่ให้ยึดคติในลาภสักการะทั้งหลาย โดยเฉพาะก๋วยสลากที่ญาติโยมนำมาถวายนั้นอาจมีเล็กบ้างใหญ่บ้าง มีเงินมากน้อยต่างกัน การจับสลากจึงยังผลให้พระสงฆ์รู้จักตัดกิเลส การทำบุญโดยไม่เจาะจงพระผู้รับสิ่งบริจาคนี้ ถือเป็นการทำความดีเพื่อความดีจริง ๆ ตามอุดมการณ์ เพื่อความสุขของจิตใจโดยแท้
งานประเพณีการสืบชะตาหรือการต่ออายุ
ได้รับอิทธิพลจากพระพุทธศาสนากระทำขึ้นเพื่อยืดชีวิตด้วยการทำพิธีให้เกิดพลังรอดพ้นความตายได้ เป็นประเพณีที่คนล้านนานิยมกระทำจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ ประเพณีการสืบชะตาคน ประเพณีการสืบชะตาบ้าน และสืบชะตาเมือง
การสืบชะตาคนจะกระทำขึ้นเมื่อเกิดการเจ็บป่วย หรือหมอดูทายทักว่าชะตาไม่ดี ชะตาขาด ควรจะทำพิธีสะเดาะเคราะห์และสืบชะตาต่ออายุ จะทำให้แคล้วคลาดจากโรคภัยและอยู่ด้วยความสวัสดีต่อไป ซึ่งเป็นเช่นเดียวกับการสืบชะตาบ้านและการสืบชะตาเมืองอันเป็นอุบายให้ญาติพี่น้องและผู้เกี่ยวข้องมารวมกัน เพื่อให้กำลังใจและปรึกษาหารือในการแก้ปัญหาบ้านปัญหาเมืองให้สำเร็จลุล่วงไป
วัฒนธรรมท้องถิ่น ภาคกลางส่วนใหญ่เป็นวัฒนธรรมที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกันกับวัฒนธรรมท้องถิ่นภาคเหนือ แต่มีลักษณะที่แตกต่างกันออกไปบ้าง เนื่องจากสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ สังคม และค่านิยมในท้องถิ่นที่แตกต่างกัน ลักษณะวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีโดยรวมมีความเกี่ยวเนื่องกับพิธีกรรมในพระพุทธศาสนา และพิธีกรรมเกี่ยวกับความเชื่อในการดำเนินชีวิต ซึ่งถือว่าเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญของวัฒนธรรมไทย ตัวอย่างของวัฒนธรรมทางภาคกลางที่สำคัญ มีดังนี้
1. ด้านศาสนาและลัทธิความเชื่อ
ประเพณีรับบัวโยนบัว มีขึ้นที่อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เป็นประเพณีที่ปฏิบัติสืบทอดกันมากว่า 80 ปี โดยชาวบ้านเชื่อตามตำนานว่า หลวงพ่อโตลอยตามแม่น้ำเจ้าพระยามาหยุดที่ปากคลองสำโรงเป็นการแสดงเจตจำนงอันแน่วแน่ว่าจะจำพรรษาอยู่ในละแวกนั้นอย่างแน่นอน ชาวบ้านจึงช่วยกันรั้งนิมนต์เข้ามาจนถึงวัดบางพลีใหญ่ใน ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานในปัจจุบัน แล้วอัญเชิญขึ้นไว้ในโบสถ์ หลวงพ่อโตจึงเป็นหลวงพ่อของชาวบางพลีตั้งแต่นั้นมา
หลังจากนั้นในวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี ชาวบางพลีจะนิมนต์หลวงพ่อขึ้นเรือแล่นไปให้ชาวบ้านได้มนัสการ ชาวบ้านจะพากันมาคอยมนัสการหลวงพ่ออยู่ริมคลองและเด็ดดอกบัวริมน้ำโยนเบา ๆ ขึ้นไปบนเรือของ หลวงพ่อ ต่อมางานรับบัวและโยนบัวจึงกลายเป็นประเพณีสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
การบูชารอยพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี
รอยพระพุทธบาทเป็นปูชนียวัตถุที่สำคัญ เป็นที่เคารพสักการะของพุทธศาสนิกชนทั่วไป โดยในเทศกาลบูชาพระพุทธบาท คือ ช่วงวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 3 ถึงวันแรม 1 ค่ำ เดือน 3 กับช่วง วันขึ้น1 ค่ำเดือน 4 ถึงวันแรม 1 ค่ำ เดือน 4 ประชาชนทั่วทุกสารทิศต่างหลั่งไหลมานมัสการรอยพระพุทธบาทในพระมณฑป อันเป็นการแสดงความเคารพต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
2. ด้านที่เกี่ยวกับการดำรงชีวิตทางการเกษตร
การทำขวัญข้าว เป็นประเพณีที่ยังคงทำกันอย่างกว้างขวางในหมู่ของคนไทยภาคกลาง ไทยพวน และไทยอีสานทั่วไป โดยจะนิยมทำกันเป็นระยะ คือ ก่อนข้าวออกรวง หลังจากนวดข้าว และขนข้าวขึ้นยุ้ง สำหรับการเรียกขวัญก่อนข้าวออกรวงจะนิยมทำกันตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 เป็นต้นไป ผู้ที่จะเรียกขวัญจะเป็นผู้หญิงซึ่งจะแต่งกายให้สวยงามกว่าธรรมดา พอถึงที่นาของตนก็จะปักเรือนขวัญข้าวลงในนา จากนั้นก็นำผ้าซิ่นไปพาดกับต้นข้าว เอาขนม นมเนย ของเปรี้ยว ของเค็ม เครื่องประดับ ของหอมต่าง ๆ หมาก พลู และบุหรี่ ใส่ลงไปในเรือนขวัญข้าว จากนั้นก็จุดธูป 8 ดอก เทียน 1 เล่ม และนั่งพนมมือเรียกขวัญข้าว พอเสร็จพิธีเรียกขวัญแล้วผู้ทำพิธีเรียกขวัญก็จะเก็บข้าวของที่มีค่าบางส่วนกลับบ้าน ส่วนเครื่องสังเวยอื่น ๆ ก็จะทิ้งไว้ในเรือนขวัญข้าวนั้นต่อไป การทำขวัญข้าวเป็นความเชื่อของชาวนาว่าจะทำให้ข้าวออกรวงมาก ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ทำกันมาอย่างยาวนาน
3. ด้านยาและการรักษาพื้นบ้าน
จากการศึกษาค้นคว้าและรวบรวมตำรายาพื้นบ้านในจังหวัดชลบุรี โดยได้มีการสัมภาษณ์แพทย์แผนโบราณ และค้นคว้าจากตำราที่บันทึกอยู่ในใบลาน สมุดข่อยทั้งสมุดไทยขาว สมุดไทยดำ พบว่ามีตำรายาไทยแผนโบราณทั้งหมด 318 ขนาน ที่ยังใช้อยู่ในปัจจุบันมี 138 ขนาน จำแนกตามคุณสมบัติ เช่น ยาแก้ไข้ ยาแก้ท้องเสีย ยาขับโลหิต ยาแก้ไอ ยาแก้ท้องขึ้นท้องเฟ้อ ยาแก้ลม เป็นต้น ยาส่วนใหญ่เป็นพืชสมุนไพร และแร่ธาตุ
ชนพื้นเมืองถิ่นอีสานดำรงชีวิตอย่างเรียบง่าย มีโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมเป็นเอกลักษณ์บนพื้นฐานประวัติศาสตร์อันยาวนาน วัฒนธรรมต่าง ๆ ของภาคอีสานเป็นการนำแนวความคิด ความศรัทธา และความเชื่อที่ได้สั่งสมและสืบทอดเป็นมรดกต่อกันมา ตัวอย่างวัฒนธรรมในด้านต่าง ๆ มีดังนี้
1. ด้านอาหาร
วัฒนธรรมเกี่ยวกับพืชผักและกรรมวิธีในการปรุงอาหารของชาวอีสานพบว่า พืชผักพื้นบ้านที่ชาวบ้านบริโภคมีทั้งพืชบริโภคตลอดปี และพืชผักตามฤดูกาลพืชผัก กองโภชนาการ กระทรวงสาธารณสุขได้วิเคราะห์สารอาหารแล้วพบว่าต่างให้คุณค่าทางโภชนาการมากมาย บางชนิดเป็นยาสมุนไพรสามารถป้องกันรักษาโรคภัยต่าง ๆ ได้ สำหรับกรรมวิธีการปรุงอาหารนั้น ชาวอีสานมีวิธีปรุงอาหารหลายวิธี เช่น แกงอ่อม อ๋อ หมกยำ ส่า คั่ว หลู้ ป่น หลน ซุบ เนียน ลาบ ก้อย แจ่ว หลาม เป็นต้น ส่วนการถนอมอาหารนั้นใช้เทคโนโลยีพื้นบ้าน ส่วนใหญ่เป็นการนำอาหารสดมาตากแห้งและใช้วิธีหมักตามธรรมชาติ
2. ด้านศาสนาและลัทธิความเชื่อ
บุญบั้งไฟ เป็นประเพณีสำคัญของชาวอีสาน นิยมทำในงานเทศกาลเดือนห้าฟ้าหก (ราวเดือนเมษายน - พฤษภาคมของปี) ในช่วงนี้ชาวนาจะเตรียมไถนาจึงได้ขอให้ฝนตก จากความเชื่อในเรื่องของสิ่งลี้ลับและเทวดาหรือพญาแถนที่อยู่บนสวรรค์จะเป็นผู้บันดาลให้ฝนตกฟ้าร้องได้ จึงมีการจัดพิธีบูชาพญาแถนขึ้นทุกปีด้วยการทำบั้งไฟ ในวันแรกเป็นวันที่ประชาชนจากหมู่บ้านต่าง ๆ เดินทางมาร่วมงานซึ่งปกติจะนำบั้งไฟมาด้วย พิธีจะเริ่มตอนเช้าตรู่ โดยทำพิธีอัญเชิญพระอุปคุตเข้ามาประดิษฐานในวัดโพนชัย เพราะเชื่อว่าจะสามารถป้องกันเหตุเภทภัยต่าง ๆ ที่จะเกิดในงานได้ จากนั้นก็มีการละเล่นทั้งกลางวันและกลางคืน เช่น เซิ้งบั้งไฟ ฟ้อนรำ การแสดงผีตาโขน เป็นต้น จนล่วงถึงวันที่สองของงาน การละเล่นก็ยังดำเนินต่อไป ในเย็นวันที่สองจะมีการจุดบั้งไฟ และวันที่สามพระจะเทศน์สังกาสและเรื่องพระเวสสันดรทั้งวัน
การแห่ผีตาโขน ที่อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ผู้เล่นจะทำรูปหน้ากากที่มีลักษณะน่าเกลียดน่ากลัวมาสวมใส่และแต่งตัวมิดชิด แล้วเข้าขบวนแห่แสดงท่าทางต่าง ๆ การแห่ผีตาโขนหรือที่อำเภอด่านซ้ายเรียกว่า “บุญหลวง” เป็นการรวมเอาบุญประเพณีบุญพระเวสและบุญบั้งไฟเข้าด้วยกัน โดยจะจัดขึ้นในช่วงวันข้างขึ้น เดือน 8 นิยมทำกัน 3 วัน
3. ด้านที่เกี่ยวกับการดำรงชีวิตทางการเกษตร
งานบุญคูนลาน เมื่อชาวนาในพื้นถิ่นอีสานเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จ ก็จะมัดข้าวที่เกี่ยวเป็นฟ่อน และนำฟ่อนข้าวมารวมกองไว้ที่ลานเพื่อนวด และเมื่อนวดข้าวเสร็จก็นิยมทำกองข้าวที่นวดให้สูงขึ้นจากพื้นลานเรียกว่า “คูนลาน” ผู้ที่ได้ข้าวมากก็มักจะจัดทำบุญกองข้าวขึ้นที่ลาน ชาวอีสานถือว่าบุญคูนลานเป็นประเพณีอย่างหนึ่งในฮิตสิบสองหรืองานทำบุญสำคัญในรอบหนึ่งปีของคนในภูมิภาคนี้ งานบุญคูนลานก็คืองานทำขวัญข้าวก่อนขนข้าวมาสู่ยุ้งฉาง ชาวบ้านจึงทำบุญเพื่อเป็นสิริมงคล เพื่อเพิ่มความมั่งมีศรีสุขแก่ตนและครอบครัว และเป็นการอัญเชิญขวัญข้าว คือ พระแม่โพสพ ให้มาอยู่ประจำข้าว การทำนาข้าวจะได้ผลอุดมสมบูรณ์และผู้คนจะไม่อดอยาก
ภาคใต้มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาอันยาวนาน เป็นแหล่งรับอารยธรรมจากพระพุทธศาสนา ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู และศาสนาอิสลาม ซึ่งได้หล่อหลอมเข้ากับความเชื่อดั้งเดิม ก่อให้เกิดการบูรณาการเป็นวัฒนธรรมท้องถิ่นภาคใต้
1. ด้านอาหาร
ประเพณีกินผักหรือที่ชาวบ้านและชาวจีนที่อยู่ในจังหวัดภูเก็ตเรียกกันว่า “เจี๊ยะฉ่าย” เป็นประเพณีที่คนจีนนับถือมาช้านาน โดยเฉพาะคนจีนฮกเกี้ยน วันประกอบพิธีจะตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 ถึงวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีนของทุก ๆ ปี ประเพณีกินผักได้เริ่มขึ้นเป็นครั้งแรกที่หมู่บ้านไล่ทู (ไนทู) ซึ่งปัจจุบัน คือ หมู่บ้านกะทู้ ตำบลกะทู้ จังหวัดภูเก็ต ในสมัยนั้นคนในหมู่บ้านส่วนใหญ่เป็นชาวจีนที่อพยพเข้ามาทำเหมืองแร่ในประเทศไทยต่อมาได้มีคณะงิ้วจากประเทศจีนเดินทางมาเปิดการแสดงในหมู่บ้าน แต่เมื่อทำการแสดงไปได้ระยะหนึ่งก็เกิดโรคระบาดขึ้นในหมู่บ้าน ทำให้คณะงิ้วนึกขึ้นได้ว่าพวกตนไม่ได้ประกอบพิธีเจี๊ยะฉ่าย (กินผัก) ที่เคยปฏิบัติกันมาทุกปีตอนอยู่ที่เมืองจีนเลยตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่ประเทศไทย คณะงิ้วและชาวบ้านจึงได้ตกลงใจกันประกอบพิธีเจี๊ยฉ่ายขึ้นที่โรงงิ้ว ต่อมาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ในหมู่บ้านก็หายไปหมดสิ้น ปัจจุบันพิธีกินผัก (เจี๊ยะฉ่าย) ของชาวภูเก็ตได้ปฏิบัติสืบทอดกันมาทุกปี ถือว่าเป็นประเพณีอันดีงามของชาวจังหวัดภูเก็ต
พืชผักพื้นบ้านต่าง ๆ นั้น เมื่อบริโภคแล้วจะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายช่วยควบคุมภาวะธาตุในร่างกายให้อยู่ในภาวะสมดุล ทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ข้อมูลดังกล่าวจึงสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตแห่งการพึ่งตนเองตามแนวทางการดูแลสุขภาพโดยเฉพาะพฤติกรรมการบริโภค
2. ด้านศาสนาและลัทธิความเชื่อ
ประเพณีลากพระ ชักพระ หรือแห่พระ
ชาวใต้ปฏิบัติกันมานานตั้งแต่ครั้งโบราณกาล ชาวบ้านที่เป็นพุทธศาสนิกชนจะพร้อมใจกันอัญเชิญพระพุทธรูปจากวัดขึ้นประดิษฐานบน “นมพระ” หรือบุษบกที่วางอยู่ตรงกลางร้านไม้ ร้านไม้นี้จะวางไว้บนไม้ขนาดใหญ่สองท่อนอีกทีหนึ่ง หรือใช้นมพระวางบนล้อเลื่อน รถ หรือเรือ แล้วลากหรือชักแห่ไปตามถนนหนทางตามแม่น้ำลำคลอง หรือริมฝั่งทะเล เคยมีผู้สันนิษฐานว่าประเพณีลากพระเกิดขึ้นในประเทศอินเดียตามลัทธิของพราหมณ์ที่นิยมเอาเทวรูปออกแห่แหนในโอกาส ต่าง ๆ และชาวพุทธได้นำเอาประเพณีนั้นมาดัดแปลง
ในกรณีภาคใต้ของไทย ชาวบ้านจะตระเตรียมงานในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 และเริ่มทำการลากพระในตอนเช้าตรู่ของวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 อันเป็นวันออกพรรษาโดยประชาชนจะเดินทางไปวัดเพื่อนำภัตตาหารไปใส่บาตรที่จัดเรียงไว้ตรงหน้าพระลาก เรียกว่า “ตักบาตรหน้าล้อ”
เมื่อพระฉันภัตตาหารเช้าเสร็จแล้ว ชาวบ้านจะนิมนต์พระภิกษุในวัดขึ้นนั่งประจำเรือพระ พร้อมทั้งอุบาสกและศิษย์วัดที่จะติดตามและประจำเครื่องประโคม อันมีโพน ฆ้อง โหม่ง ฉิ่ง ฉาบ แล้วชาวบ้านก็จะช่วยกันลากพระออกจากวัด ขณะที่ลากพระไปประชาชนที่รออยู่จะนำต้ม (ข้าวเหนียวห่อใบกะพ้อทำเป็นรูปสามเหลี่ยม) มาแขวนที่ล้อเลื่อนหรือรถเพื่อทำบุญกันไปตลอดทาง การลากพระนี้อาจขยายออกเป็น 2-3 วัน หรือ 7-10 วัน แล้วแต่ท้องที่
ประเพณีสารทเดือนสิบของจังหวัดนครศรีธรรมราช ถือเป็นงานประเพณีที่ยิ่งใหญ่ ได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู จัดขึ้นเพื่ออุทิศ ส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว
3. ด้านศิลปะ
การรำโนรา ซึ่งเป็นศิลปะพื้นบ้านที่เก่าแก่ของภาคใต้ โดยนอกจากจะแสดงเพื่อความบันเทิงแล้ว ยังแสดงเพื่อประกอบพิธีกรรมที่เรียกว่า โนรา โรงครูหรือโนราลงครู อีกด้วย พิธีกรรมนี้มีจุดมุ่งหมายในการจัดเพื่อไหว้ครูหรือไหว้ตายายโนรา อันเป็นการแสดงความกตัญญูรู้คุณต่อครู เพื่อทำพิธีแก้บน เพื่อทำพิธียอมรับเป็นศิลปินโนราคนใหม่ และเพื่อประกอบพิธีเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ
ประเพณีการรำโนรามีความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตของชาวบ้านทั้งนี้ เพราะโนราโรงครูเป็นพิธีกรรมที่เป็นความเชื่อทางพระพุทธศาสนาระดับชาวบ้าน อันหมายถึงความเชื่อในหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาซึ่งผสมผสานเข้ากับลัทธิพราหมณ์-ฮินดู และความเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์หรือผีสางเทวดา อันรวมไปถึงการเซ่นไหว้บรรพบุรุษการเข้าทรง และพิธีกรรมทางความเชื่ออื่น ๆ
ประเพณีของชาวไทยมุสลิมทางภาคใต้
เช่น การเกิด โกนผมไฟ แต่งงาน การตาย เป็นต้น ล้วนมีเอกลักษณ์พิเศษและเป็นเรื่องที่น่าสนใจศึกษา เพราะในแต่ละประเพณีที่กล่าวถึงจะได้รับการยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดสืบต่อกันมาอย่างไม่ขาดสาย ประเพณีเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความคิด ความเชื่อ และการปฏิบัติเฉพาะอย่างเห็นได้ชัด เช่น ประเพณีการทำศพ สิ่งที่ต้องกระทำ คือ การอาบน้ำศพ ห่อศพ ละหมาดศพ และฝังศพ ถ้าไม่กระทำเชื่อว่าจะบาปกันทั้งหมู่บ้าน
คนทุกเผ่าพันธุ์ ทุกสังคม ย่อมมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตนเอง เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมเป็นองค์ประกอบอันสำคัญในการทำให้สมาชิกในสังคมอยู่รวมกันเป็นปึกแผ่น เอกลักษณ์ของชาติไทยจึงแบ่งออกได้ดังนี้
1. วัฒนธรรมประเภทเผ่าพันธุ์และการดำรงชีวิต หมายถึง เอกลักษณ์เฉพาะเผ่า เอกลักษณ์ของชาติ ที่แสดงออกทางกายภาพ คือ รูปร่างหน้าตา สีผิว ทรงผม รวมทั้งส่วนประกอบทางวัฒนธรรมของแต่ละเผ่าประกอบด้วย อาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค ยังมีกิจกรรมและส่วนประกอบอื่น ๆ อีกมากมายที่ช่วยสร้างรูปแบบเอกลักษณ์ของชาติให้ชัดเจนยิ่งขึ้นคือ เครื่องมือเครื่องใช้ในการดำรงชีวิต ศาสนาและความเชื่อ ประเพณี การประกอบอาชีพ พิธีกรรมต่าง ๆ
วิถีการดำเนินชีวิตของคนไทยถือเป็นเอกลักษณ์ของชาติ ได้แก่ มรดกไทย ทั้งพฤติกรรมที่แสดงออกทางกาย วาจา ใจ เช่น การแสดงความเคารพตามระบบอาวุโส การไหว้ การยิ้มทักทายมีไมตรีจิตที่ดีต่อกัน ซึ่งทำให้เกิดวลีที่ว่า “ยิ้มสยาม” การให้ความเคารพต่อสถานที่และบุคคล ความเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่น การให้อภัย การมีขันติธรรมทางศาสนา ให้ความเคารพต่อสถาบันหลักของประเทศ เป็นต้น
2. วัฒนธรรมประเภทภาษาและวรรณกรรม “ภาษาไทย” เป็นเอกลักษณ์ของชาติไทย มีสำเนียงออกเสียงโดยเฉพาะ มีพื้นฐานมาจากการผสมผสานกับภาษาอื่น ๆ เช่น ภาษาลาว ภาษาเขมร และภาษามอญ มีศัพท์ที่ได้รับจากวัฒนธรรมอินเดีย คือ ภาษาบาลีและสันสกฤต เมื่อมีการติดต่อกับชาติตะวันตกอย่างอังกฤษ และเปอร์เซีย ก็ได้มีการนำคำของชาตินั้น ๆ มาใช้อีกด้วย สำหรับคำราชาศัพท์ที่ใช้กับพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์มีที่มาสำคัญจากภาษาเขมรและอินเดีย
นอกจากนี้ ในแต่ละภูมิภาคมีภาษาถิ่นหรือสำเนียงเฉพาะถิ่น เช่น สำเนียงลาว ใช้กันในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือของไทย สำเนียงใต้ ใช้พูดกันหมู่ประชาชนภาคใต้ของไทย และสำเนียงสุพรรณ เป็นสำเนียงเฉพาะถิ่นในจังหวัดสุพรรณบุรี
3. วัฒนธรรมประเภทศาสนา จริยธรรม คุณธรรม ดินแดนไทยในระยะแรกได้มีการรับความเชื่อทั้งศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนาพุทธนิกายเถรวาท และศาสนาพุทธนิกายมหายานมาจากอินเดีย ต่อมาภายหลังมีการรับศาสนาพุทธทั้งจากพุกาม (เมียนมาร์) และเขมร (กัมพูชา) จนกระทั่งราวพุทธศตวรรษที่ 18-19 พระพุทธศาสนานิกายเถรวาทจากลังกา (ศรีลังกา) ที่เรียกกันว่า “ลังกาวงศ์” ได้เข้ามาแพร่หลายและเป็นที่นับถือของคนส่วนใหญ่จนกระทั่งปัจจุบัน
4. วัฒนธรรมประเภทสุนทรียศาสตร์ ศิลปะ และการกีฬา งานด้านสุนทรียศาสตร์ในบางครั้งรวมเรียกว่า “ศิลปะและวัฒนธรรม” แยกออกเป็นสาขาใหญ่ ๆ คือ งานจิตรกรรม งานประติมากรรม งานสถาปัตยกรรม งานดุริยางคศิลป์ และนาฏศิลป์ เป็นสิ่งที่สามารถแสดงถึงเอกลักษณ์ของชาติไทยได้ เช่น ภาพจิตรกรรมฝาผนังวัดพระสิงห์ จังหวัดเชียงใหม่ ภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระพุทธรูปและรูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยสุโขทัย โบราณสถานวัดเจ็ดยอด จังหวัดเชียงใหม่ การแสดงละครพันทาง เรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา เป็นต้น
5. วัฒนธรรมประเภทครอบครัว เศรษฐกิจ และการเมือง บทบาทของสังคมมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและสิ่งแวดล้อม การพัฒนาทางเศรษฐกิจและการเมืองส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม มีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและสิ่งแวดล้อม สัมพันธ์กับวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และอุตสาหกรรมมีผลกระทบต่อ การเปลี่ยนแปลงในการดำรงชีพ การพัฒนาทางเศรษฐกิจและการเมืองส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม โดยพบอิทธิพลวัฒนธรรมตะวันตกหลั่งไหลเข้าสู่ประเทศไทยและเข้ามาผสมผสานกับรูปแบบวัฒนธรรมดั้งเดิมของไทยเป็นอย่างมาก เช่น ปัจจุบันในสังคมเมืองรูปแบบการแต่งกายไทยเหลือเพียงนิทรรศการและวันเทศกาลสำคัญเท่านั้นเพราะนิยมการแต่งกายตามแบบตะวันตกมากกว่า