ประวัติศาสตร์ไทยสมัยก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 (ก่อนสมัยสุโขทัย)
ประวัติความเป็นมาของชนชาติไทย
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
รัฐโบราณในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้: ฟูนัน-สุวรรณภูมิ
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
33%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
33%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
รัฐโบราณในบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา: ทวารวดี (อู่ทอง นครปฐม และละโว้)
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
33%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
67%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
รัฐโบราณในบริเวณภาคใต้ของไทย: ลังกาสุกะ ตักโกละ ตามพรลิงค์ และศรีวิชัย
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
รัฐโบราณในบริเวณภาคเหนือของไทย: โยนกเชียงแสน และหริภุญชัย
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
33%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
ประวัติศาสตร์ไทยสมัยหลังพุทธศตวรรษที่ 19 (สมัยการสถาปนาราชธานีของอาณาจักรไทย)
กรุงสุโขทัย
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
33%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กรุงศรีอยุธยา
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
67%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
33%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กรุงธนบุรี
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กรุงรัตนโกสินทร์ ช่วงรัชกาลที่ 1-3
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
33%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กรุงรัตนโกสินทร์ ช่วงรัชกาลที่ 4-5
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
100%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กรุงรัตนโกสินทร์ ช่วงรัชกาลที่ 6-8
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
33%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กรุงรัตนโกสินทร์ ช่วงรัชกาลที่ 9
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
67%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
100%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
บุคคลสำคัญกับการสร้างสรรค์วัฒนธรรมไทย
บุคคลสำคัญในช่วงก่อนกรุงรัตนโกสินทร์
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
บุคคลสำคัญในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ 1
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
บุคคลสำคัญในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ 2
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
บุคคลสำคัญในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ 3
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
บุคคลสำคัญในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ 4
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
บุคคลสำคัญในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ 5
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย

สังคมและวัฒนธรรมไทยก่อนการปฏิรูปสังคมและการปกครองไทยในสมัยรัชกาลที่ 5

ยอดวิว 0

แบบฝึกหัด

EASY

สังคมและวัฒนธรรมไทยก่อนการปฏิรูปสังคมและการปกครองไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 (ชุดที่ 1)

HARD

สังคมและวัฒนธรรมไทยก่อนการปฏิรูปสังคมและการปกครองไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 (ชุดที่ 2)

news

สังคมและวัฒนธรรมไทยก่อนการปฏิรูปสังคมและการปกครองไทยในสมัยรัชกาลที่ 5

เนื้อหา

        สังคมไทยก่อนการปฏิรูปในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการพัฒนาสืบเนื่องมาอย่างยาวนาน มีขนบธรรมเนียมประเพณี การปกครอง ชนชั้นต่าง ๆ ลักษณะดังกล่าวยังคงสืบมาจนถึงปัจจุบัน

สังคมไทยในสมัยสุโขทัย

        สังคมของกลุ่มชนชาวสุโขทัยแบ่งเป็น 2 ชนชั้นชัดเจน คือ ชนชั้นผู้ปกครอง ประกอบด้วย พระมหากษัตริย์ พระบรมวงศาสนุวงศ์ และขุนนาง ส่วนชนชั้นใต้ปกครองคือ ไพร่ หรือประชาชนโดยทั่วไป นอกจากนี้ยังมีกลุ่มพระสงฆ์ ซึ่งถูกจัดเป็นชนชั้นพิเศษ มีบทบาทสำคัญในการอบรมสั่งสอน สังคมในสมัยสุโขทัยเป็นสังคมที่มีชนชั้น แต่มีความสัมพันธ์ที่ดีและใกล้ชิดกันมากแบบเครือญาติ นอกจากนี้ศาสนาที่เข้ามามีอิทธิพลคือ พระพุทธศาสนา นิกายเถรวาทจากลังกา รวมถึงศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู จากอาณาจักรเขมร ทำให้เกิดการผสมกลมกลืนกันระหว่างศาสนาพราหมณ์กับพระพุทธศาสนา

        ในด้านวิถีชีวิตคนสุโขทัยมีคตินิยมเรื่องความกตัญญูรู้คุณบิดามารดา อันเป็นหลักสำคัญในการดำรงชีวิต ซึ่งมาจากอิทธิพลเรื่องบุญ-บาปในศาสนาพุทธ ส่งผลให้เกิดเป็นประเพณีที่ส่งมาถึงปัจจุบัน เช่น ประเพณีการทอดกฐิน ประเพณีการเทศน์มหาชาติ ประเพณีการบวช (เป็นข้อสันนิษฐานที่ได้จากข้อความในศิลาจารึกสมัยสุโขทัย)

        ประติมากรรมที่สำคัญ คือ พระพุทธรูปมีทั้งที่เป็นงานปูนปั้นและหล่อด้วยสำริด ลักษณะโดยทั่วไป มีพระพักตร์รูปไข่ พระนาสิกโด่ง พระเนตรเหลือบต่ำ ได้รับการยกย่องว่าสวยงามและอ่อนช้อยที่สุด อาทิเช่น พระศรีศากยมุนี วัดสุทัศนเทพวราราม กรุงเทพมหานคร, พระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก, พระพุทธชินสีห์ วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร, พระพุทธรูปลีลา (การย่างก้าวไปด้านหน้า) วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กรุงเทพมหานคร
        สถาปัตยกรรม มีการใช้วัสดุที่หลากหลายในการก่อสร้างทั้งที่ทำด้วยอิฐ หิน และศิลาแลง โดยขึ้นอยู่กับยุคสมัย แหล่งวัสดุ และความชำนาญของช่างในแต่ละเมือง ส่วนอาคารที่สร้างด้วยไม้ไม่ปรากฏหลักฐานให้เห็นแล้วเนื่องจากผุพังไปตามกาลเวลา เอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรม คือ เจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ หรือทรงดอกบัวตูม, เจดีย์ช้างล้อม (เจดีย์ที่มีช้างล้อมรอบที่ฐาน)
        จิตรกรรม จิตรกรรมาผนังที่โดดเด่นที่สุด คือ ภาพจำหลักบนแผ่นหินชนวนภายในมณฑปวัดศรีชุม จังหวัดสุโขทัย
        วรรณกรรม ในรัชสมัยของสมเด็จพระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไท) พระองค์ได้พระราชนิพนธ์วรรณกรรมสำคัญทางพระพุทธศาสนาขึ้น มีชื่อว่า "ไตรภูมิพระร่วง" ซึ่งกล่าวถึงภพภูมิต่าง ๆ และทวีปทั้ง 4 ตามคติของพระพุทธศาสนา วรรณกรรมดังกล่าวมีอิทธิพลของความเชื่อและวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยต่อมาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่องการทำความดี ละเว้นความชั่ว

สังคมไทยในสมัยอยุธยา

        ในสมัยอยุธยา ประชากรมีจำนวนเพิ่มขึ้นและผู้คนมีความหลากหลายอย่างมาก ทั้งจากการกวาดต้อน และลี้ภัยเมื่อครั้งสงคราม รวมทั้งการเข้ามาติดต่อค้าขายของชาวต่างชาติ แต่ละชนชั้นมีความสัมพันธ์ที่เป็นระบบมากยิ่งขึ้น โดยมีการกำหนดสิทธิไว้ชัดเจน

        ชนชั้นสังคมอยุธยาประกอบด้วย

     1.  ชนชั้นปกครอง ได้แก่ พระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ ขุนนาง และพระสงฆ์
     2.  ชนชั้นใต้ปกครอง ได้แก่ สามัญชน เรียกว่าไพร่
     3.  ทาส

        มีการการจัดระบบสังคมที่เรียกว่า ระบบศักดินา และระบบไพร่ ซึ่งถือเป็นพื้นฐานสำคัญของการเมือง การปกครอง และเศรษฐกิจ อย่างมาก

        ระบบศักดินา เป็นการกำหนดบทบาท หน้าที่ ความรับผิดชอบ สิทธิ และฐานะของทางสังคมบุคคลโดยพระมหากษัตริย์จะเป็นผู้พระราชทานให้ ซึ่งใช้จำนวนที่นาเป็นเครื่องแสดงฐานะสูงต่ำ ตามลำดับ ศักดินายังเป็นตัวชี้ตำแหน่งของบุคคลในสังคม และกำหนดหน้าที่ที่ต้องกระทำ ความรับผิดชอบสิทธิต่าง ๆ ของบุคคลผู้นั้น (เช่น เป็นขุนนาง ต้องทำหน้าที่ดูแลคนในสังกัดให้ทำหน้าที่ให้ดีต่อชาติบ้านเมืองหรือนำผู้คนไปออกรบยามศึกสงคราม มีสิทธิสามารถสั่งทำโทษคนในสังกัดตนได้ หากเป็นไพร่ก็ทำนาปลูกข้าวหรือทำตามคำสั่งเจ้านายตน ยามสงครามก็ไปเป็นทหาร) นอกจากนี้การกำหนดโทษแก่ผู้กระทำความผิดก็จะพิจารณาตามศักดินา โดยผู้มีศักดินาสูงจะมีโทษหนักว่าผู้มีศักดินาต่ำ

        ระบบไพร่ มีการกำหนดให้ผู้ชายไปรับราชการโดยการใช้แรงงาน เรียกว่า “เข้าเดือน ออกเดือน” (มาทำราชการหนึ่งเดือน และหยุดพักไปทำมาหากินหนึ่งเดือนสลับกันไป) จนครบปี ไพร่มีสังกัดขึ้นกับ “มูลนาย” แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ

        1.  “ไพร่หลวง” คือ ไพร่ที่ขึ้นตรงต่อพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งทรงแจกจ่ายให้ประจำกรมกองต่าง ๆ

        2.  “ไพร่สม” คือ ไพร่ที่พระมหากษัตริย์พระราชทานแก่เจ้านายที่เป็นเชื้อพระวงศ์ หรือขุนนางระดับสูง

        นอกจากนี้ยังมี “ไพร่ส่วย” คือ ไพร่ที่จ่ายเงินแทนการใช้แรงงานหรือรับราชการอีกด้วย (ไพร่ส่วยมีจำนวนมากขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย) ซึ่งในสมัยอยุธยาทุกคนมีศักดินา ยกเว้นพระมหากษัตริย์ (เพราะพื้นดินทั้งหมดในอาณาจักร คือ ของพระเจ้าแผ่นดิน) แต่ละชั้นจะได้รับที่ดินเป็นตัวบอกถึงตำแหน่ง ซึ่งเป็นมาตราวัดมีหน่วยเป็น ไร่ ดังนี้

ชนชั้น

ศักดินา

เจ้านาย (พระบรมวงศ์ศานุวงศ์)

500-100,000 ไร่

ขุนนาง

400-10,000 ไร่

พระสงฆ์

100-2,400 ไร่

ข้าราชการหรือขุนหมื่น

30-ต่ำกว่า 400 ไร่

ไพร่

10-25 ไร่

ทาส

ไม่เกิน 5 ไร่

        กล่าวโดยสรุป ผู้มีศักดินาต่ำกว่า 400 ไร่ จะถือเป็นชนชั้นใต้ปกครอง ส่วนผู้มีศักดินาสูงกว่า 400 ไร่ ขึ้นไปเป็นชนชั้นปกครอง นั่นเอง


สังคมไทยในสมัยกรุงธนบุรี

        ในช่วงสมัยกรุงธนบุรีเป็นยุคของการสร้างบ้านแปลงเมือง มีการก่อสร้างพระราชวัง ป้อมปราการ กำแพงพระนคร วัดวาอารามต่าง ๆ ยังคงมีลักษณะสืบต่อมาจากอยุธยา แต่เนื่องจากบ้านเมืองเสียหายจากสงครามอย่างหนัก ประกอบกับเพิ่งกอบกู้เอกราชคืนมาได้แต่ก็ต้องระมัดระวังภัยจากพม่าที่จะมาโจมตีอีก ผู้คนต่างพยายามหนีเอาตัวรอดมีการตั้งเป็นก๊ก เป็นชุมนุม ทำให้มีโจรปล้นสะดมมากมาย สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จึงได้ออกมาตราการขั้นเด็ดขาดในการปราบปรามและควบคุมกำลังคน

        นอกจากนี้ยังทรงทำนุบำรุงศาสนามีการสร้างและปฏิสังขรณ์วัดที่สำคัญ เช่น วัดบางยี่เรือเหนือ วัดบางยี่เรือใต้ และทรงจัดให้มีการสังคายนาพระไตรปิฎก และยังปรากฏผลงานด้านศิลปกรรม คือ ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์ด้วยพระองค์เอง และทรงโปรดให้ช่างเขียน “สมุดภาพไตรภูมิ” เพื่อปลูกฝังให้ประชาชนเกิดความเชื่อในเรื่องบาปบุญคุณโทษ ประพฤติกรรมดี ละเว้นความชั่ว พระองค์ทรงหารายได้จากการทำการค้ากับจีน การเก็บภาษี ส่วย และสนับสนุนให้ทุกคนทำเกษตรกรรม


สังคมไทยในสมัยรัตนโกสินทร์

        สังคมของรัตนโกสินทร์ในช่วงต้นกรุงนั้นยังคงมีลักษณะตามแบบในสมัยอยุธยาตอนปลายและธนบุรี คือยังใช้ระบบศักดินา และจตุสดมภ์ในการบริหารปกครองประเทศ แต่สมัยรัตนโกสินทร์นั้น ชาวต่างชาติเข้ามามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประเทศด้านสังคมและเศรษฐกิจ

        รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 มีการยกเลิกการเข้าเวร แบบ “เข้าเดือนออกเดือน” เปลี่ยนมาเป็นเข้าเวร 1 เดือน ออก 2 เดือน เพื่อให้ไพร่มีเวลาประกอบอาชีพมากขึ้น ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ได้เปลี่ยนการเข้าเวรรับราชการเป็น เข้าเวร 1 เดือน ออก 3 เดือน ทำให้ข้าราชการเข้ามารับราชการเพียงปีละ 3 เดือน เนื่องจากบ้านเมืองมีการเจริญเติบโต การค้าขายขยายตัวจากการเข้ามาของชาวจีนและชาวตะวันตกทำให้เกิดอาชีพใหม่ ๆ ขึ้นมามากมาย เช่น คนลากเกวียน, อาชีพคนขับรถสามล้อ, เลขานุการ, นักบัญชี เป็นต้น

       ความเจริญที่เข้ามาจากตะวันตก

        นอกจากนี้ด้านศาสนา การศึกษา และศิลปกรรม ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 เป็นต้นมา มีการสร้างและบูรณะวัดเก่าในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เช่น วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์) นับได้ว่าเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 1 จนกระทั้งถึงสมัยรัชกาลที่ 3 มีการรวบรวมองค์ความรู้ด้านต่าง ๆ ทั้งด้านการแพทย์, วรรณกรรม, ศาสนา, ศิลปกรรม, การต่างประเทศ ไว้ที่วัดแห่งนี้จนได้รับการขนานนามว่าเป็น “มหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย”และยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สร้างวัดในเขตพระราชวังคือ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) ตามแบบอย่างพระราชวังหลวงสมัยอยุธยา

         จนกระทั่งถึงรัชกาลที่ 3 เป็นยุคของการสร้างวัดและบูรณะวัดเก่าเป็นจำนวนมาก โดยรูปแบบทางศิลปกรรมได้รับอิทธิพลจากจีนเป็นหลัก เกิดรูปแบบที่เรียกว่า “แบบพระราชนิยม” เพราะเป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นใหม่และเป็นวัดที่สร้างโดยพระราชประสงค์ของรัชกาลที่ 3 ทำให้มีการสร้างวัดที่มีลวดลายจีนและลดทอนรายละเอียดแบบไทยประเพณีลง เช่น ตัดทอนส่วนช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ออกหน้าบันนิยมประดับกระเบื้องเคลือบหรือเครื่องถ้วยแทนการประดับด้วยกระจกสี เพื่อให้ประหยัดงบประมาณและเวลา
ผลงานที่สำคัญในสมัยนี้คือ วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร

        รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว สมัยรัชกาลที่ 3 มีการพิมพ์หนังสือขึ้นเป็นครั้งแรก งานพิมพ์ชิ้นสำคัญ คือ หนังสือพิมพ์บางกอกรีคอเดอ (The Bangkok Recorder) โดยหมอบรัดเลย์ (Mr. Dan Beach Bradley) มิชชันนารีชาวอเมริกัน ทำให้งานเขียนต่าง ๆ ได้รับการเผยแพร่ได้กว้างขวางขึ้น บุคคลสำคัญในสมัยนี้ คือ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส พระองค์ได้รับยกย่องว่าเป็น “รัตนกวีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์” ทรงนิพนธ์ เรื่องลิลิตเลงพ่าย, สมุทรโฆษคำฉันท์, ปฐมสมโพธิคาถา, ร่ายยาวพระมหาเวสสันดรชาดก

        รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ก่อนการปฏิรูปสังคมไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 นั้น สยามต้องเผชิญกับการเข้ามาของชาติตะวันตก ที่เข้ามาล่าอาณานิคม ประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบถูกรุกรานจนกลายเป็นเมืองขึ้น (อินเดียและพม่า รวมทั้งหัวเมืองมลายูตกอาณานิคมของอังกฤษ ในขณะที่ญวน และเขมรส่วนนอกตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส) ทำให้สยามจำเป็นต้องทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่งกับอังกฤษและชาติอื่น ๆ เป็นเหตุให้เสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต รวมทั้งทำให้รูปแบบเศรษฐกิจของสยามเปลี่ยนจากแบบยังชีพ เป็นแบบการค้าที่มีเงินตราเข้ามาเป็นปัจจัยแลกเปลี่ยนที่สำคัญ เป็นต้น
        ดังนั้น รัชกาลที่ 4 จึงโปรดฯให้มีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาชาติบ้านเมืองให้เจริญตามแบบตะวันตกเพื่อไม่ให้ชาวต่างชาติดูถูกว่า เป็นประเทศไม่มีอารยะ ธรรมเนียมของราชสำนักที่ทรงโปรดฯให้ปรับเปลี่ยน นั่นคือ ทรงโปรดฯให้ข้าราชการทั้งหลายสวมเสื้อเข้าเฝ้า นอกจากนี้พระองค์ได้ให้สิทธิแก่ประชาชนหลายประการ เช่น

  • คนไทยสามารถเลือกนับถือศาสนาได้
  • สตรีที่บรรลุนิติภาวะแล้วเลือกคู่ครองเองได้
  • ห้ามบิดามารดาหรือสามีขายบุตรภรรยาไปเป็นทาสโดยเจ้าตัวไม่สมัครใจ
  • ลดการเกณฑ์แรงงานไพร่
  • ผู้หญิงฟ้องหย่าสามีได้
  • ทรงจัดส่งข้าราชการไปดูงานต่างประเทศ

        รัชกาลที่ 4 ทรงร่วมดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยา ด้วยพระองค์เอง เป็นการแสดงถึงการลดพระราชสิทธิ์ ทำให้กษัตริย์มีความใกล้ชิดกับประชาชนทั่วไปมากยิ่งขึ้น ข้อได้เปรียบของพระองค์คือทรงแตกฉานหลายภาษา
ทั้งภาษาไทย, บาลี, สันสกฤต, มอญ, อังกฤษ, ลาติน, และภาษาฝรั่งเศส โดยเฉพาะภาษาของชาติตะวันตก ทำให้สามารถรู้ทันชาติตะวันตกได้เป็นอย่างดี ซึ่งถือเป็นการปูทางให้รัชกาลที่ 5 ในการปฏิรูปประเทศต่อไป

        อิทธิพลตะวันตกได้เข้ามาในสมัยรัชกาลที่ 4 มีอิทธิพลอย่างมากโดยเฉพาะศิลปะและวิทยาการ เช่น มีเครื่องพิมพ์ในสยามทำให้สยามเรียนรู้เรื่องการพิมพ์ หรือด้านศิลปะ โดยเฉพาะภาพจิตรกรรมฝาผนังดูมีมิติและสมจริงอย่างตะวันตก มีแรเงา ภาพมีความลึกตื้น สำหรับจิตรกรเอกที่เป็นผู้บุกเบิกงานจิตรกรรมแบบตะวันตกนี้ คือ "ขรัวอินโข่ง" นับเป็นศิลปินก้าวหน้าแห่งยุคที่ผสมผสานแนวดำเนินชีวิตแบบไทยกับตะวันตกเข้าด้วยกัน ด้านอาคารสำคัญต่าง ๆ เริ่มมีอิทธิพลตะวันตกเข้ามาอย่างเห็นได้ชัด  มีการตั้งศาลกงศุล หรือศาลคดีต่างประเทศ