เวลา ยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ และการตั้งถิ่นฐานในดินแดนไทย
ประวัติศาสตร์ไทยสมัยก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 (ก่อนสมัยสุโขทัย)
ประวัติศาสตร์ไทยสมัยหลังพุทธศตวรรษที่ 19 (สมัยการสถาปนาราชธานีของอาณาจักรไทย)
สถาบันพระมหากษัตริย์และพัฒนาการในประวัติศาสตร์ชาติไทย
การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
บุคคลสำคัญกับการสร้างสรรค์วัฒนธรรมไทย
ภูมิปัญญาไทยและวัฒนธรรมไทย

ความหมายและความสำคัญของประวัติศาสตร์

ยอดวิว 184.8k

แบบฝึกหัด

EASY

ความหมายและความสำคัญของประวัติศาสตร์ (ชุดที่ 1)

HARD

ความหมายและความสำคัญของประวัติศาสตร์ (ชุดที่ 2)

news

ความหมายและความสำคัญของประวัติศาสตร์

เนื้อหา

ประวัติศาสตร์ (History)

        ที่มาของวิชาประวัติศาสตร์ มาจากการที่มนุษย์มีความต้องการอยากรู้พฤติกรรมในอดีตของมนุษย์ โดยการศึกษาจากหลักฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน ประวัติศาสตร์จึงเป็นศาสตร์ที่เชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบันของมนุษย์ เนื่องจากมนุษย์มีความแตกต่างจากสัตว์อื่น คือมีการเรียนรู้และสามัญสำนึกที่ก่อให้เกิดพฤติกรรมและถ่ายทอดต่อ ๆ กัน จากรุ่นสู่รุ่น มนุษย์จึงผูกผันกับประวัติศาสตร์อย่างใกล้ชิด

        คนทั่วไปมักจะมีความเข้าใจว่าประวัติศาสตร์คือ “อดีต” แต่ในความเป็นจริงนั้น “อดีต” ก็คือ “เรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมา” จะเป็นประวัติศาสตร์ได้ก็ต่อเมื่อนักประวัติศาสตร์ สนใจและเห็นความสำคัญ มีประโยชน์ต่อมนุษย์ หรืออาจกล่าวได้ว่า ประวัติศาสตร์ คือ การสืบสวนสอบสวนค้นคว้า เรื่องราวของมนุษย์ในอดีต และเรื่องราวนั้นมีผลกระทบต่อสังคมโดยส่วนรวม

        ดังนั้น ประวัติศาสตร์ คือ การศึกษาเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์สำคัญของมนุษย์ในอดีต ว่าเกิดขึ้นและดำเนินไปอย่างไร โดยที่ความรู้ด้านประวัติศาสตร์จะไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ ไม่ตายตัว เพราะเมื่อพบหลักฐานใหม่ที่น่าเชื่อถือ ก็สามารถเปลี่ยนแปลงทฤษฎี หรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้เสมอ ทำให้การเรียนรู้เรื่องราวของประวัติศาสตร์สัมพันธ์กับวิชาการสาขาอื่น เช่น สาขาวิชาสังคมศาสตร์, มนุษยศาสตร์, ภูมิศาสตร์, และวิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการระบุระยะเวลาของสิ่งที่ค้นพบ เป็นต้น

ความสำคัญของประวัติศาสตร์

        สิ่งสำคัญที่ได้จากประวัติศาสตร์คือ การฝึกฝนทักษะเพื่อให้มีพัฒนาการทางความคิดอย่างเป็นระบบ วิธีคิดอย่างเป็นระบบ วิธีคิดที่มีเหตุผลบนพื้นฐานของข้อมูลหลักฐานที่ปรากฏ อย่างต่อเนื่องเป็นระบบ มีความคิดรอบคอบ คิดอย่างเที่ยงธรรมและเป็นกลาง เคารพในข้อเท็จจริงและเหตุผลเพื่อให้เข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง รวมทั้งมีความเข้าใจในพฤติกรรมของมนุษย์ในทุกยุคทุกสมัย

ความหมายของประวัติศาสตร์

        เนื่องจากวิชาประวัติศาสตร์เป็นวิชาที่มีขอบข่ายเนื้อหากว้าง ดังนั้นจึงมีนักประวัติศาสตร์ได้ให้นิยามความหมายไว้หลากหลายทัศนะ เช่น

  • สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย ได้ให้ความหมายของคำว่าประวัติศาสตร์ เป็นคำที่พึ่งนำมาจาก "History" ในภาษาอังกฤษโดยในไทยมีคำที่ใช้มาก่อนหน้านั้นคือ คำว่า "พงศาวดาร" แนวคิดนี้ปรากฏในลายพระหัตถ์ที่มีถึงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ เมื่อ พ.ศ. 2477 ความว่า “...ตามความเห็นหม่อมฉันยังให้ใช้เรียก History ว่าพงศาวดารอยู่ตามเดิม”
  • ดร. วิจิตร สินสิริ ได้แสดงทัศนะไว้ว่า “ประวัติศาสตร์คือบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ ในอดีต เกี่ยวด้วยเรื่องเหตุการณ์ทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม ปรัชญาที่มนุษย์ได้คิดได้สร้างไว้ถือเป็นความเจริญรุ่งเรือง  และเป็นรากฐานของความเจริญสมัยต่อ ๆ มา ดังนั้นเราจึงมีประวัติศาสตร์หลายแขนง เช่น ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ ประวัติศาสตร์อวกาศ ประวัติศาสตร์การเมือง ฯลฯ”
  • นิธิ เอียวศรีวงศ์ นักประวัติศาสตร์ไทย ได้ให้ความหมายว่า “ประวัติศาสตร์ คือ การศึกษาเพื่ออธิบายอดีตของสังคมมนุษย์ในมิติของเวลา หรือประวัติศาสตร์ คือ การศึกษาเพื่อเข้าใจอดีตของสังคมมนุษย์ในมิติเวลา”
  • เลโอโปลด์ ฟอน รันเคอ (Leopond von Ranke) นักประวัติศาสตร์ชาวเยอรมัน ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มการศึกษาประวัติศาสตร์สมัยใหม่ โดยใช้หลักฐานในการศึกษาอ้างอิง ผ่านการศึกษาด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์ (History Methods) ได้อธิบายว่า “ประวัติศาสตร์ได้รับการยกย่องให้มีหน้าที่พิพากษาอดีต ให้บทเรียนแก่ปัจจุบัน เพื่อเป็นประโยชน์แก่อนาคต”

ความสำคัญของลำดับเวลาในการศึกษาประวัติศาสตร์

           สำหรับสิ่งที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นเรื่องราวของมนุษย์จากอดีตถึงปัจจุบันก็คือ “เวลา” (Time) อันเป็นปัจจัยสำคัญในประวัติศาสตร์ที่อยู่เหนือการควบคุม เพราะเวลาทำให้เหตุการณ์หนึ่ง ๆ หรือชุดของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในอดีตกลับคือมาไม่ได้ อดีตจึงเป็นตัวกำหนดปัจจุบัน หมายความว่า สภาพปัจจุบันที่เป็นอยู่คือผลของอดีตนั่นเอง เนื่องจาก “เวลารุดหน้าไปโดยไม่ถอยหลังกลับ เปรียบเสมือนตัวเชื่อมระหว่างอดีตกับปัจจุบัน และปัจจุบันกับอนาคตอีกด้วย ในแง่นี้ทำให้อดีตและปัจจุบันกลายเป็นเงื่อนไขอย่างหนึ่งของอนาคต” เพราะเหตุนี้มนุษย์จึงรู้สึกว่ามีตัวตน นั่นคือ มนุษย์มีอดีต ปัจจุบัน และอนาคต

             ประวัติศาสตร์ไม่ใช่เรื่องราวของมนุษย์ที่ขาดกาลเวลา บริบทและความต่อเนื่องของ “เวลา”
เป็นสิ่งสำคัญเช่นเดียวกับเนื้อหาของเรื่องราวในประวัติศาสตร์ การที่จะเข้าใจประวัติศาสตร์จึงไม่อาจกระทำได้โดยตัดตอนช่วงเวลาหนึ่งเวลาใดของประวัติศาสตร์ออกไปเป็นเอกเทศ ตัวอย่างเช่น ถ้าเราต้องการจะเข้าใจเรื่องราวของคนไทย เราต้องศึกษาประวัติศาสตร์ไทยในช่วงเวลาที่ต่อเนื่องกันยาวนาน นับจากจุดเริ่มต้นพัฒนามาจนถึงปัจจุบัน หรือถ้าเราต้องการจะรู้ประวัติศาสตร์ไทยช่วงใดสมัยหนึ่งโดยเฉพาะ เราก็ยังจะต้องคำนึงถึงบริบทและความต่อเนื่องของ “เวลา” อยู่ดี กล่าวคือ ต้องรู้ว่าช่วงเวลาใดสมัยหนึ่งนั้นอยู่ในส่วนไหนของเวลาทั้งหมดในประวัติศาสตร์ หรือหมายถึงอยู่ในส่วนไหนของการแบ่งช่วงสมัยของประวัติศาสตร์ (Periodization) การแบ่งช่วงเวลาสมัยนี้เป็นเพียงการสมมติ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง เป็นการแบ่งเพื่อให้เกิดภาพพจน์ของสิ่งต่าง ๆ ในเงื่อนไขของ “เวลา” ที่ถูกต้อง

             ดังนั้น ประวัติศาสตร์จึงเป็นเรื่องของการศึกษา “เกี่ยวกับมนุษย์ที่อยู่ในกาลเวลา” (of men in time) ไม่ใช่เรื่องของยุคสมัย หรือหัวข้อเรื่องประวัติศาสตร์ที่ผูกติดมากับยุคสมัยแต่อย่างใด