ชนิดของคำในภาษาไทย

ยอดวิว 0

แบบฝึกหัด

EASY

แบบฝึกหัดชนิดของคำในภาษาไทย (ชุดที่ ๑)

EASY

แบบฝึกหัดชนิดของคำในภาษาไทย (ชุดที่ ๒)

HARD

แบบฝึกหัดชนิดของคำในภาษาไทย (ชุดที่ ๓)

เนื้อหา

ชนิดของคำในภาษาไทย

จำแนกตามตำราพระยาอุปกิตศิลปสารได้ ๗ ชนิด คือ

๑. คำนาม

คำที่ใช้เรียกสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม

แบ่งได้ ๕ ชนิด ดังนี้

     ๑.๑ สามานยนาม คือ คำที่ใช้เรียกสิ่งต่าง ๆ ทั่วไป ไม่เฉพาะเจาะจง เช่น ต้นไม้ หมา โรงเรียน ดอกไม้ หนังสือ วัด เป็นต้น

     ๑.๒ วิสามานยนาม คือ คำที่ใช้เรียกนามชื่อเฉพาะเจาะจง เช่น ต้นมะม่วง โรงเรียนสวนกุหลาบ หนังสือเรียนวิชาภาษาไทย วัดไชยวัฒนาราม เป็นต้น

     ๑.๓ สมุหนาม คือ คำที่ใช้เรียกนามเพื่อบอกหมวดหมู่ เช่น คณะ ฝูง กอง กลุ่ม พวก ชุด หมู่ โขลง เป็นต้น  
     ***จะวางอยู่หน้าคำนาม เช่น ฝูงนก คณะนักเรียน

     ๑.๔ ลักษณนาม คือ คำที่ใช้บอกลักษณะ รูปร่าง ขนาด หรือปริมาณ เช่น ผืน สาย เส้น หมวด ด้าม แท่ง มัด มวน ตน รูป  เป็นต้น 
      ***จะวางอยู่หลังนามหรือจำนวนนับ เช่น นก ๑ ฝูง รถ ๑ คัน ปากกา ๑ ด้าม ที่ดิน ๒ ไร่

     ๑.๕ อาการนาม คือ คำนามที่บอกกิริยาอาการ จะมีคำว่า “การ” หรือ “ความ” นำหน้าคำกริยาหรือคำวิเศษณ์ เช่น ความรัก  การกิน ความสุข การออกกำลังกาย เป็นต้น   
      ***ถ้า “การ” หรือ “ความ” ไม่นำหน้าคำกริยาหรือคำวิเศษณ์ถือว่าเป็นคำประสม ไม่ถือเป็นอาการนาม เช่น การบ้าน การไฟฟ้า  เป็นต้น


๒. คำสรรพนาม 

คำที่ใช้แทนคำนาม

แบ่งได้ ๖ ชนิด ดังนี้

     ๒.๑ บุรุษสรรพนาม คือ สรรพนามที่ใช้แทนบุคคล แบ่งเป็น   
                 - บุรุษที่ ๑ เช่น ฉัน ผม ข้าพเจ้า   
                 - บุรุษที่ ๒ เช่น เธอ ท่าน ใต้เท้า 
                 - บุรุษที่ ๓ เช่น เขา พระองค์ พวกเขา

     ๒.๒ ประพันธสรรพนาม คือ สรรพนามที่ใช้เชื่อมประโยคย่อย ทำหน้าที่แทนนามหรือสรรพนาม ได้แก่คำว่า ที่ ซึ่ง อัน ผู้  

       "คนที่ขยันอ่านหนังสือจะสอบได้คะแนนดี"

     ๒.๓ นิยมสรรพนาม คือ สรรพนามที่ใช้แทนนามชี้เฉพาะ เช่นคำว่า นี่ นั่น โน่น นี้ นั้น โน้น  

         "นี่เป็นบ้านของฉัน"    "คนนั้นชื่อบอย"

     ๒.๔ อนิยมสรรพนาม คือ สรรพนามที่ใช้แทนนามทั่วไป เช่นคำว่า ใคร อะไร ไหน  ***ไม่ต้องการคำตอบ 

      "อะไร ๆ ฉันก็กินได้"    "ใครจะไม่ไปเที่ยวก็ได้"

     ๒.๕ ปฤจฉาสรรพนาม คือ สรรพนามที่ใช้แทนนามที่มีเนื้อความเป็นคำถาม เช่นคำว่า ใคร อะไร ไหน  *** ต้องการคำตอบ   

        "ใครจะไปเที่ยวบ้าง"    "ไหนบ้านของเธอ"

     ๒.๖ วิภาคสรรพนาม คือ สรรพนามที่ใช้แยกส่วน ได้แก่คำว่า ต่าง บ้าง กัน 

            "นักเรียนบ้างก็ทำการบ้าน บ้างก็เล่น"   

๓. คำกริยา 

คำที่แสดงกิริยาอาการหรือแสดงสภาพ

แบ่งได้ ๕ ชนิด ดังนี้

     ๓.๑ อกรรมกริยา คือ กริยาที่ไม่ต้องการกรรม เช่น น้ำท่วม ฝนตก ฉันร้องไห้ ไก่ขัน  

     ๓.๒ สกรรมกริยา คือ กริยาที่ต้องการกรรม เช่น นกจิกหนอน น้องกินขนม ทหารจับโจร

     ๓.๓ วิกตรรถกริยา คือ กริยาที่ต้องการส่วนเติมเต็ม เช่น คำว่า เป็น เหมือน คล้าย เท่า คือ ดุจ เป็นต้น 

เช่น       "เขาเป็นข้าราชการ"   
           "น้องนัทหน้าตาเหมือนคุณพ่อมาก" 

     ๓.๔ กริยานุเคราะห์ คือ กริยาที่ทำหน้าที่เป็น กริยาช่วยทำให้ใจความสมบูรณ์มากขึ้น เช่นคำว่า คง จะ กำลัง ถูก เป็นต้น 

เช่น       "แม่กำลังตีน้อง"      "เธอคงชอบเขา"

     ๓.๕ กริยาสภาวมาลา คือ กริยาที่ทำหน้าที่เป็นคำนาม 

เช่น   "ออกกำลังกายทำให้สุขภาพดี"   "พี่ชอบว่ายน้ำ"

๔. คำวิเศษณ์

คำที่ประกอบกับคำอื่นเพื่อขยายความให้ชัดเจนขึ้น สามารถใช้ประกอบได้ทั้งคำนาม คำสรรพนาม คำกริยา และคำวิเศษณ์
เช่น          เด็กอ้วนกินข้าวจุมาก 
               อ้วน : วิเศษณ์ขยายนาม
               จุ
: วิเศษณ์ขยายกริยา 
               มาก
: วิเศษณ์ขยายวิเศษณ์

คำวิเศษณ์ แบ่งได้ ๑๐ ชนิด ดังนี้

     ๔.๑ ลักษณวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์เพื่อบอกลักษณะ เช่น สี  ขนาด  เสียง  กลิ่น  รส  ความรู้สึก  อาการ เป็นต้น 
      เช่น ดี  ชั่ว  ขาว  ดำ  ใหญ่  เหม็น  ช้า  

     ๔.๒ กาลวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์เพื่อบอกเวลา
      เช่น  เช้า  สาย  บ่าย  เที่ยง  เย็น  ค่ำ

     ๔.๓ สถานวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์เพื่อบอกสถานที่
      เช่น  บน  ล่าง  เหนือ  ใต้  บก  น้ำ 

     ๔.๔ ประมาณวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์เพื่อบอกปริมาณและจำนวนนับ
      เช่น จุ  หลาย 
ทั้งหมด  บ้าง  บาง  ทุก  มาก  น้อย ***วางอยู่หลังกริยาจะเป็นประมาณวิเศษณ์

เช่น       "นักเรียนบางคนเล่นบ้าง  ทำการบ้านบ้าง"

     ๔.๕ นิยมวิเศษณ์  คือ คำวิเศษณ์ที่บอกความชี้เฉพาะ
      เช่น นี่  นั่น  โน่น  นี้  นั้น  โน้น  ทั้งนี้  
อย่างนี้  ดังนั้น  ดังนี้  ทีเดียว  แน่นอน 

เช่น        "คืนนี้ ฉันไปด้วยแน่นอน"

     ๔.๖ อนิยมวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ที่บอกความไม่ชี้เฉพาะ 
      เช่น  ใด  ไหน  ใคร  อะไร  ทำไม  
กี่  เช่นไร   *** ไม่ต้องการคำตอบ 

เช่น        "ไม่ว่าเธอจะเป็นใครฉันก็รัก"   
            "ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์"

     ๔.๗ ปฤจฉาวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ที่บอกความเป็นคำถาม
      เช่น  ใด  ไหน  ใคร  อะไร 
ทำไม  กี่  เช่นไร *** ต้องการคำตอบ 

เช่น        "อาหารอะไรที่มีไขมันเยอะ"
            "สถานที่ใดที่ไปแล้วประทับใจที่สุด"

     ๔.๘ ประติชญาวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์บอกการขานรับ
      เช่น  จ้ะ  จ๋า  ครับ  ค่ะ  คะ 

     ๔.๙ ประติเษธวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์บอกความปฏิเสธ
      เช่น  ไม่  บ่  หามิได้  หา...ไม่ 

     ๔.๑๐ ประพันธวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ประกอบคำกริยา หรือคำวิเศษณ์เพื่อเชื่อมประโยคใช้กับประโยคความซ้อนแบบวิเศษณานุประโยค
      เช่น เมื่อ จน เพราะ ตาม อย่างที่ เพื่อ

 เช่น      "เธอร้องไห้จนไม่มีน้ำตา"   
            "พ่อแม่ทำงานหนักเพื่อลูกจะได้สบาย"

 
ข้อสังเกตคำสรรพนาม และคำวิเศษณ์

นิยมสรรพนามนิยมวิเศษณ์
แทนคำนาม และคำสรรพนามขยายคำนาม สรรพนาม กริยา และวิเศษณ์  
ไม่ปรากฏคำนาม และสรรพนามวางอยู่หลังคำนาม สรรพนาม กริยา และวิเศษณ์  
มักขึ้นต้นประโยค

 

อนิยมสรรพนามอนิยมวิเศษณ์
ไม่ต้องการคำตอบ  ไม่ต้องการคำตอบ 
    แทนคำนาม และสรรพนาม    ขยายคำนาม สรรพนาม กริยา และวิเศษณ์
ไม่ปรากฏคำนาม และสรรพนาม วางอยู่หลังคำนาม สรรพนาม กริยา และวิเศษณ์


ปฤจฉาสรรพนามปฤจฉาวิเศษณ์
ต้องการคำตอบต้องการคำตอบ
แทนคำนาม และสรรพนามขยายคำนาม สรรพนาม กริยา และวิเศษณ์
ไม่ปรากฏคำนาม และสรรพนาม  วางอยู่หลังคำนาม สรรพนาม กริยา และวิเศษณ์


ประพันธสรรพนามประพันธวิเศษณ์
   ใช้กับประโยคความซ้อน แบบคุณานุประโยคใช้กับประโยคความซ้อน แบบวิเศษณานุประโยค
ขยายคำนาม และสรรพนามขยายคำกริยา และวิเศษณ์
ได้แก่ คำว่า ที่ ซึ่ง อัน ผู้เช่นคำว่า เมื่อ จน เพราะ เพื่อ ฯลฯ



๕. คำบุพบท 

คำที่ทำหน้าที่เชื่อมคำหรือกลุ่มคำ

แบ่งได้ ๒ ชนิด ดังนี้

     ๕.๑ บุพบทที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำต่อคำ เพื่อบอกความเป็นเจ้าของ บอกความเกี่ยวข้อง บอกจุดมุ่งหมาย บอกเวลา  บอกสถานที่ บอกความเปรียบ เช่น  

  "บ้านหลังนี้เป็นของฉัน"     "ฉันรักแต่เธอคนเดียว"   
  "ทหารเสียสละเพื่อชาติ"     "ฉันตื่นมาวิ่งตั้งแต่เช้า"
  "กระเป๋าใบนี้ซื้อมาจากฝรั่งเศส"     "น้องสูงกว่าพี่"

ข้อสังเกต : คำบุพบท กับคำวิเศษณ์

บุพบทจะมีนามหรือสรรพนามต่อท้าย ถ้าไม่มีคำต่อท้ายจะเป็นคำวิเศษณ์  เช่น 

          "บ้านของฉันอยู่ไกลโรงเรียน" (บุพบท)   
          "บ้านของฉันอยู่ไกล" (วิเศษณ์)

     ๕.๒ บุพบทที่ไม่แสดงความสัมพันธ์กับบทอื่น ทำหน้าที่เป็นคำทักทาย คำเรียกขาน 
      เช่น 
ดูกร ข้าแต่ ดูรา เป็นต้น


๖. คำสันธาน

คำที่ทำหน้าที่เชื่อมประโยค 

แบ่งได้ ๔ ชนิด ดังนี้

     ๖.๑ เชื่อมใจความที่คล้อยตามกัน เช่นคำว่า และ ทั้ง...และ ก็ พอ...ก็ แล้ว...จึง ครั้น...จึง ก็ดี ก็ตาม ทั้ง...ก็  

เช่น      "ทั้งเธอและเขาคือคนที่ฉันรัก"    
           "พอน้องอ่านหนังสือเสร็จก็เข้านอน"

     ๖.๒ เชื่อมใจความขัดแย้งกัน เช่นคำว่า แต่ แต่ทว่า แต่ว่า กว่า...ก็ แต่...ก็ แม้...ก็

เช่น     "กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้" 
          "ถึงเขาจะไม่หล่อแต่เขาก็เป็นคนดี"

     ๖.๓ เชื่อมใจความเป็นเหตุเป็นผลกัน เช่นคำว่า เพราะ...จึง เพราะฉะนั้น...จึง ดังนั้น...จึง (เหตุก่อนผล)

เช่น     "เพราะเขาเมาจึงขับรถชน"  
         "เธอตั้งใจทำงานดี ดังนั้นเธอจึงได้เลื่อนตำแหน่ง"

     ๖.๔ เชื่อมใจความเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นคำว่า ไม่...ก็ หรือ ไม่เช่นนั้น มิฉะนั้น   

เช่น      "ไม่เธอก็เขาต้องได้รับคัดเลือกเป็นหัวหน้า" 
          "เธอต้องตั้งใจทำงานมิฉะนั้นจะถูกนายตำหนิอีก"

ข้อสังเกต : คำบุพบท กับคำสันธาน

  บุพบทเชื่อมคำ สันธานเชื่อมประโยค  เช่น 
     - "ฉันกินข้าวกับน้อง" 
        (บุพบท  : เพราะ “น้อง” เป็นคำ)
     - "ฉันกับน้องกินข้าว " 
        (สันธาน
: เพราะ “น้องกินข้าว” เป็นประโยค)

๗. คำอุทาน 

คำที่ไม่ได้ตั้งใจเปล่งออกมาเพื่อแสดงอารมณ์และความรู้สึก

แบ่งได้ ๒ ชนิด ดังนี้

     ๗.๑ อุทานแสดงอาการ เพื่อแสดงอารมณ์และความรู้สึก
       เช่น โอ๊ย อุ๊ย ชิชะ อุเหม่ แหม 
เฮ้อ โอ้โฮ พระเจ้าช่วย อนิจจา พุทโธ่ ว้าย

     ๗.๒ อุทานเสริมบท เพื่อเป็นคำเสริมสร้อย อาจอยู่ต้นคำ ท้ายคำ หรือแทรกกลางคำก็ได้  
       เช่น หยูกยา อาหงอาหาร โกหกพกลม กระดูกกระเดี้ยว ดอกเอ๋ยดอกไม้

ทีมผู้จัดทำ