การสร้างคำในภาษาไทย
คำมูล
คือ คำพื้นฐานที่มีอยู่ในภาษาไทยทั้งมีและไม่มีความหมาย โดยสังเกตได้ดังนี้
- คำ ๑ พยางค์ทุก ๆ คำ จัดว่าเป็นคำมูล เช่น เดิน นอน เข้า นั่ง
- คำตั้งแต่ ๒ พยางค์ขึ้นไป ต้องแยกทีละพยางค์ ถ้าหากแยกออกมาแล้วมีพยางค์ใดพยางค์หนึ่งไม่มีความหมาย จึงจัดว่าเป็นคำมูล
เช่น นาฬิกา แยกเป็น นา-ฬิ-กา คำว่า ฬิ ไม่มีความหมาย ดังนั้นจึงถือว่า นาฬิกา เป็นคำมูลที่มี ๓ พยางค์
โดยการสร้างคำนั้นเริ่มต้นจากการนำคำมูลตั้งแต่ ๒ คำขึ้นไปมารวมกัน แล้วเกิดคำลักษณะใหม่ ๓ ลักษณะ ได้แก่ ๑. คำประสม
คือ การนำคำมูลที่มีความหมายแตกต่างกัน ตั้งแต่ ๒ คำ ขึ้นไปมารวมกัน แล้วเกิดความหมายใหม่ที่มีเค้าความหมายเดิม ซึ่งคำที่นำมาประสมกันเป็นได้ทั้ง คำนาม คำสรรพนาม คำกริยา คำวิเศษณ์ คำบุพบท และคำสันธาน ทั้งนี้เมื่อประสมแล้วก็อาจเป็นคำคนละชนิดกับคำที่นำมาประสมก็ได้ เช่น
ห่อหมก (กริยา + กริยา) = คำนาม หมายถึง อาหารชนิดหนึ่ง
ตัวอย่างคำประสม เช่น
ลูกน้ำ (นาม + นาม) = คำนาม
หมายถึง ลูกยุง
ใจถึง (นาม + บุพบท) = คำวิเศษณ์
หมายถึง กล้าทำ กล้าพูด
เบี้ยล่าง (นาม + วิเศษณ์) = คำวิเศษณ์
หมายถึง เป็นรอง เสียเปรียบ
หวานเย็น (วิเศษณ์ + วิเศษณ์) =
คำนาม หมายถึง ของกินที่ทำด้วยน้ำหวานหรือน้ำกะทิ แล้วทำให้แข็งด้วยความเย็น
คำวิเศษณ์ หมายถึง รถไฟ รถประจำทางที่แล่นไปช้า ๆ
๒. คำซ้อน
คือ การนำคำมูลที่มีความหมายคล้ายกันหรือตรงข้ามกันมารวมกัน เพื่อให้มีความหมายในลักษณะต่าง ๆ คำมูลที่นำมาซ้อนกันมีหลากหลายลักษณะ ดังนี้
- คำไทยภาคกลางซ้อนกับคำไทยภาคกลาง
เช่น บ้านเรือน หัวหู หน้าตา - คำไทยภาคกลางซ้อนกับคำไทยภาษาถิ่น
เช่น เสื่อสาด (กลาง-ใต้) พัดวี (กลาง-ใต้) อิดโรย (เหนือ-กลาง) - คำไทยภาคกลางซ้อนกับคำจากภาษาอื่น
เช่น แบบฟอร์ม (ไทย-อังกฤษ) จิตใจ (บาลี-ไทย) โง่เขลา (ไทย-เขมร) - คำต่างประเทศซ้อนกันเอง
เช่น สนุกสนาน (เขมร) รูปภาพ (บาลี-สันสกฤต)
คำซ้อนมีหลายประเภทขึ้นอยู่กับคำที่นำมาซ้อนกัน ดังนี้
๒.๑ คำซ้อนเพื่อความหมาย
มี ๓ ลักษณะ ดังนี้
๑. การนำคำที่มีความหมายเหมือนกันมาซ้อนกัน เช่น ทรัพย์สิน บ้านเรือน อ้วนพี ใหญ่โต รูปภาพ
๒. การนำคำที่มีความหมายคล้ายกันมาซ้อนกัน เช่น เงินทอง หน้าตา หัวหู แขนขา ดินฟ้าอากาศ
๓. การนำคำที่มีความหมายตรงข้ามกันมาซ้อนกัน เช่น ผิดชอบชั่วดี เป็นตายร้ายดี
อนึ่ง คำซ้อนเพื่อความหมายดังที่กล่าวข้างต้น อาจจะให้น้ำหนักความหมายของคำที่นำมาซ้อนแตกต่างกัน ดังนี้- เน้นความหมายของคำหน้า เช่น ความคิดความอ่าน
- เน้นความหมายที่คำหลัง เช่น ว่านอนสอนง่าย
- เน้นความหมายที่คำหน้าและคำหลัง เช่น ผลหมากรากไม้
- ความหมายทั้งสองคำเท่ากัน เช่น อำนาจวาสนา
- ความหมายกว้างออก เช่น กินข้าวกินปลา (กินอาหาร)
- ความหมายย้ายที่ เช่น เดือดเนื้อร้อนใจ (ความลำบาก)
- ความหมายคงเดิม เช่น ใหญ่โตมโหฬาร
๒.๒ คำซ้อนเพื่อเสียง
เป็นการนำคำที่มีเสียงพยัญชนะต้นที่เป็นเสียงเดียวกันมาซ้อนกัน ซึ่งแต่ละเสียงอาจมีความหมายหรือไม่มีความหมายก็ได้ เช่น เอะอะ จุกจิก เกะกะ อึดอัด งอแง ฯลฯ
ข้อสังเกต:
-คำซ้อนเพื่อเสียงบางคำสามารถเป็นคำซ้อนเพื่อความหมายได้ด้วย เช่น อึดอัด
-ข้อแตกต่างระหว่างคำซ้อนกับประสม คือ
คำที่นำมาซ้อนกันจะต้องมีความหมายเป็นไปใน ๓ ลักษณะ คือ เหมือนกัน คล้ายกัน หรือตรงข้ามกันเท่านั้น
ส่วนคำประสมนั้นคำที่นำมารวมกันจะมีความหมายของแต่ละคำที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย
๓. คำซ้ำ
คือ คำที่เกิดจากการซ้ำเสียงคำเดียวกันตั้งแต่ ๒ คำขึ้นไป โดยต้องเป็นคำชนิดเดียวกัน ทำหน้าที่เดียวกัน ความหมายเดียวกันเท่านั้น อาจใช้ไม้ยมก (ๆ) แทนคำซ้ำ ซึ่งเมื่อนำมาซ้ำกันแล้วจะมีความหมายหลากหลายลักษณะ ดังนี้
- เน้นความหมายของคำเดิม
เช่น เสื้อตัวนี้สวย ๆ - บอกความเป็นพหูพจน์
เช่น เด็ก ๆ กำลังเล่น - แยกเป็นส่วน ๆ
เช่น ใช้ปากกาให้เป็นด้าม ๆ ไปสิ - บอกความไม่แน่นอน
เช่น คอยอยู่แถว ๆ ปากซอย - ลดน้ำหนักของคำเดิมลง
เช่น ผมของเธอสีออกเทา ๆ นะ - ความหมายสลับกัน
เช่น เดินเข้า ๆ ออก ๆ นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่กับบ้าน - บอกความต่อเนื่อง
เช่น ฝนตกหยิม ๆ น้ำไหลจ๊อก ๆ - ความหมายเปลี่ยนจากคำเดิม (สำนวน)
เช่น งู ๆ ปลา ๆ กล้วย ๆ