ปฏิกิริยานิวเคลียร์และพลังงานนิวเคลียร์ (3)

ยอดวิว 0

แบบฝึกหัด

EASY

ปฏิกิริยานิวเคลียร์และพลังงานนิวเคลียร์ (3) (ชุดที่ 1) Pre test

EASY

ปฏิกิริยานิวเคลียร์และพลังงานนิวเคลียร์ (3) (ชุดที่ 2) Post test

HARD

ปฏิกิริยานิวเคลียร์และพลังงานนิวเคลียร์ (3) (ชุดที่ 3)

เนื้อหา

Q-value-และการบอกอายุ

ในการคำนวณเกี่ยวกับปฏิกิริยานิวเคลียร์ ค่าพลังงานปฏิกิริยาหรือ Q-value เป็นปัจจัยหนึ่งในการบ่งบอกถึงการเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ว่าเกิดได้ง่ายหรือยาก

โดยสามารถแบ่งเป็น 2 แบบ คือ

  • ปฏิกิริยาดูดพลังงาน(endothermic reaction) และ
  • ปฏิกิริยาคลายพลังงาน(exothermic reaction)

เมื่อพิจารณาปฏิกิริยานิวเคลียร์โดยทั่วไป

a plus X rightwards arrow Y plus b

ค่าของ Q-value สามารถคำนวณได้จากความแตกต่างของมวลก่อนเกิดปฏิกิริยาและมวลหลังเกิดปฏิกิริยาดังสมการ

Q equals left parenthesis M subscript a plus M subscript X minus M subscript Y minus M subscript b right parenthesis c squared
  • ในกรณีที่ Q greater than 0 เป็นปฏิกิริยาคายพลังงาน โดยปฏิกิริยาประเภทนี้จะมีการปล่อยพลังงานออกมา และ
  • กรณีที่ Q less than 0 เป็นปฏิกิริยาดูดพลังงาน โดยปฏิกิริยาประเภทนี้ ต้องให้พลังงานกับระบบเพื่อทำให้เกิดปฏิกิริยา ซึ่งพลังงานที่เพิ่มเข้ามานี้อาจจะมาจากพลังงานจลน์ของอนุภาคที่วิง่เข้าชนนิวเคลียส
ตัวอย่างเช่น จากปฏิกิริยา  blank subscript space space 6 end subscript superscript 13 C plus p rightwards arrow n plus blank subscript space space 7 end subscript superscript 13 N ถ้าโปรตอนที่เข้าชนมีพลังงาน 1 MeV
จะสามารถเกิดปฏิกิริยานี้ได้หรือไม่

ในการจะเกิดปฏิกิริยานั้นสามารถพิจารณาเป็น 2 แบบ คือ

  • ถ้า Q > 0 ปฏิกิริยาสามารถเกิดได้ และ
  • ถ้า Q < 0 พลังงานของโปรตอนที่เข้าชนต้องมีพลังงานมากเพียงพอ

คำนวณค่า Q-value ของปฏิกิริยา begin mathsize 14px style Q equals left parenthesis M subscript C 13 plus M subscript p minus M subscript n minus M subscript N 13 right parenthesis c squared equals negative 3.0 M e V end style
นั่นหมายความว่า ปฏิกิริยานี้จะเกิดได้ พลังงานของโปรตอนที่เข้าชนต้องมีค่า 3.2 MeV เป็นอย่างน้อย
กรณีที่ พลังงานของโปรตอนมีค่า 1 MeV นั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดปฏิกิริยาได้

ในกรณีที่ค่า Q < 0 พลังงานที่ต้องการเพิ่มทำให้เกิดปฏิกิริยา a plus X rightwards arrow Y plus b ได้

สามารถคำนวณได้จาก

E subscript t h r e s h o l d end subscript equals negative Q left parenthesis 1 plus M subscript a over M subscript x right parenthesis

สารกัมมันตภาพรังสี (Radioactive matter)

ชนิดและสมบัติของรังสีบางชนิด

คาร์บอน-14

นักวิทยาศาสตร์ใช้ประโยชน์จากการกัมมตภาพรังสี และสมบัติของนิวเคลียสในหลากหลายรูปแบบด้วยกัน เช่น ในบรรยากาศของโลกมีการเกิด คาร์บอน-14 อยู่ตลอดเวลา จากปฏิกิริยาระหว่างไนโตรเจนกับนิวตรอน ดังสมการ

blank subscript space space 7 end subscript superscript 14 N plus subscript 0 superscript 1 n rightwards arrow subscript space space 6 end subscript superscript 14 C plus blank subscript 1 superscript 1 H

หรือเขียนเป็นสมการรูปแบบย่อได้เป็น

blank subscript space space 7 end subscript superscript 14 N left parenthesis n comma p right parenthesis subscript space space 6 end subscript superscript 14 C

และคาร์บอน-14 นี้จะไปจับตัวกับออกซิเจนและเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ เหมือนกับ คาร์บอน-12 ดังนั้น คาร์บอยน-14 และคาร์บอน-12 จึงมีการหมุนเวียนอยู่ในพืชและสัตว์อยู่ตลอดเวลาผ่านการกินและการขับถ่าย โดยสัดส่วนของ คาร์บอน-14 ต่อ คาร์บอน-12 จะมีค่าคงที่อยู่ที่ 7.8 x 10-4

เมื่อพืชหรือสัตว์ตายลง การหมุนเวียนคาร์บอน-14 จึงหยุดลง และคาร์บอน-14 เองก็มีการสลายตัว ดังนั้นปริมาณที่เหลืออยู่ของคาร์บอน-14 สามารถบ่งถึงเวลาว่า ซากสัตว์หรือวัตถุต่างๆ มีอายุเท่าใด

Cesium-137 (ซีเซียม-137, CS-37)

ไอโซโทปของซีเซียมซึ่งเป็นสารกัมมันตภาพรังสีที่มีเลขอะตอมเท่ากับ55 มีครึ่งชีวิต (half-life) 30 ปีสลายโดยปล่อยรังสีบีตาและรังสีแกมมา เป็นหนึ่งในผลผลิตการแบ่งแยกนิวเคลียส พบในฝุ่นกัมมันตรังสีที่ตกค้างจากการทดลองลูกระเบิดอะตอม และจากอุบัติเหตุทางนิวเคลียร์ ใช้เป็นตัวชี้บอกปริมาณนิวไคลด์กัมมันตรังสี (activity of a radionuclide) ในอาหารที่ผ่านการฉายรังสี (food irradiation) หรือการปนเปื้อนของสารกัมมันตรังสีที่เกิดการปนเปื้อนในอาหารจากสิ่งแวดล้อมโดยไม่เจตนา

การปนเปื้อนของซีเซียม-137 ในอาหาร

การปนเปื้อน ของซีเซี่ยม-137 ในสิ่งแวดล้อมจากอุบัติเหตุทางนิวเคลียร์มีโอกาสได้โดยตกค้างใน สิ่งแวดล้อมแหล่งน้ำ พืช สัตว์ จะแพร่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์และสัตว์ได้ทางห่วงโซ่อาหาร ด้วยการบริโภคอาหารที่มีการปนเปื้อน
  • การวัดค่า และ ปริมาณซีเซียม-137 มาตรฐานในอาหาร
การวัดปริมาณจากการสลายตัวของสารกัมมันตรังสีมีหน่วยในระบบ SI เป็นเบคเคอเรล (Becquerel, Bq)หมายถึงจํานวนนิวเคลียสของสารกัมมันตรงสั ีที่แตกตัวในหนึ่งวินาที (decays per second) องค์การอาหารและยา กําหนดให้ตรวจปริมาณการปนเปื้อนของสารกัมมันตรังสีในอาหาร 3 ชนิดคือ ไอโอดีน 131 (Iodine-131) ซีเซียม 137 (Cesium-137) และซีเซยมี 134 (Cesium-134) หน่วยวัดปริมาสารกัมมันตรังสีใน เครื่องดื่มหรือของเหลวจะใช้หน่วย "เบคเคอเรลต่อลิตร" ส่วนอาหารหรือของแข็งจะมีหน่วยเป็น "เบคเคอเรลต่อกิโลกรัม"

อันตรายจากซีเซียม -137

ซีเซียม-137 เป็นอันตรายทางอาหาร (food hazard) ประเภทอันตรายทางเคมี (chemical hazard) เมื่อได้รับเข้าไปในร่างกาย จะกระจายไปทั่วร่างกาย ส่วนใหญ่จะสะสมอยู่ในเนื้อเยอื่ และส่วยน้อยอยู่ในตับและไขกระดูกแต่จะถูกขับออกโดยกระบวนการทางชีวภาพ ทางเหงื่อและ ปัสสาวะ ซีเซียม 137 เป็นสารก่อมะเร็ง โอกาสที่จะเป็นมะเร็งคือต้องกินสารปนเปื้อนนั้น เป็นระยะเวลานานๆ ต่อเนื่องกัน มากกว่า พิษของของ Cesium-137 ให้ผลรุนแรงน้อยกว่า ไอโอดีน-131 (Iodine-131)

Iodine-131 (I-131)

I-131 เป็นไอโซโทปรังสีรุ่นแรก ๆ ของโลก nuclear medicine เลยก็ว่าได้I-131 เป็นที่รู้จักและถูกนํามาใช้ด้านการแพทย์ I-131 ที่ได้จะต้องผ่านการทดสอบคุณภาพทั้งทางด้าน chemical purity, radiochemical purity, radionucledic purity และด้านอื่นอีก

ผลของรังสีต่อสิ่งมีชีวิต

รังสีที่แผ่ออกจากธาตุกัมมันตรังสีคือ กัมมันตภาพรังสี (radioactivity) เมื่อผ่านเข้าไปในสิ่งมีชีวิตทั้งหลายจะทําให้เกิดการแตกตัวเป็นไอออนของอะตอมตามแนวทางที่รังสีผ่านไปทําให้เกิดผลเสียต่อสิ่งมีชีวิต 2 แบบ คือ
  1. ผลของรังสีที่มีต่อร่างกาย คือ เกิดเป็นผื่นแดงขึ้นตามผิวหนัง ผมร่วง เซลล์ตาย เป็นแผลเปื่อย เกิดเนื้อเส้นใยจํานวนมากที่ปอด (fibrosis of the lung) เกิดโรคเม็ดโลหิตขาวมาก (leukemia) เกิดต้อกระจก(cataracts) ขึ้นในนัยน์ตา เป็นต้น ซึ่งร่างกายจะเป็นมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณของรังสีที่ได้รับ ส่วนของร่างกายที่ได้และอายุของผู้ได้รับรังสี
  2. ผลของรังสีที่เกี่ยวกับการสืบพันธุ์คือ ทําให้โครโมโซม (chromosome) เกิดการเปลี่ยนแปลงมีผลทําให้ลูกหลานเกิดเปลี่ยนลักษณะได้
โดยหลักการการปนเปื้อนของสารกัมมันตรังสีในน้ําทะเล จะส่งผลให้เกิดการกลายพันธุ์ในสัตว์ทะเลได้โดยเฉพาะที่กลุ่มสารกัมมันตรังสีที่ให้เบต้า จะมีผลต่อการกลายพันธุ์ ทั้งนี้ต้องขึ้นกับปริมาณการรับและการสะสม เช่น หากสารกัมมันรังสีลงไปในน้ํา และแพลงก์ตอนรับสารรังสีเข้าไป เมื่อหอย ปลา กินแพลงก์ตอนเป็นล้านตัว จะเพิ่มความเข้มข้นไปเรื่อยๆสะสมในห่วงโซ่อาหาร อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีผลการยืนยันที่ชัดเจนว่าจะถึงขั้นเปลี่ยนระบบนิเวศน์ใต้ทะเลหรือไม่แต่มีความเสี่ยงต่อการทําให้สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์มากกว่า

อาการที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากได้รับกัมมันตรังสีโดยไม่มีการควบคุม

  • คลื่นไส้อาเจียน
  • อ่อนเพลีย
  • เม็ดเลือดขาวถูกทําลายอย่างรุนแรง
  • ระบบการสร้างโลหิตจากที่ไขกระดูกบกพร่อง
  • ร่างกายความต้านทานโรคต่ำ
  • เกิดความผิดปกติบริเวณที่ถูกรังสีเช่น ผิวหนังไหม้พุพอง ผมร่วง ปากเปื่อย เป็นต้น

การป้องกันอนตรายจากสารกัมมันตรังสี

รังสีทุกชนิดมีอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตทั้งนั้น จึงต้องทําการป้องกันไม่ให้ร่างกายได้รับรังสีหรือได้รับแต่เพียงปริมาณน้อยที่สุด ในกรณีที่ไม่สามารถหลกเหลี่ยงได้เนื่องจากต้องทํางานเกี่ยวข้องกับรังสีแล้ว ควรมีหลักยึดถือเพื่อปฏิบัติดังนี้
  1. เวลาของการเผย (time of exposure) โดยใช้เวลาในการทํางานในบริเวณที่มีรังสีใหส้ั้นที่สุด
  2. ระยะทาง (Distance) การทํางานเกี่ยวกับรังสีควรอยู่ห่างจากแหล่งกําเนิดรังสีมาก ๆ ทั้งนี้เพราะความเข้มของรังสีจะแปรผกผันกับกำลังสองของระยะทาง
  3. เครื่องกำบัง (Shielding) เครื่องกําบังที่วางกั้นระหว่างคนกับแหล่งกําเนิดรังสีจะดูดกลืนบางส่วนของรังสีหรืออาจจะทั้งหมดเลยก็ได้ดังนั้นในกรณีที่ต้องทำงานใกล้กับสารกัมมันตรังสีและต้องใช้เวลานานในการปฏิบัติงาน เราจําเป็นต้องใช้เครื่องกําบังช่วยเครื่องกําบังที่ดีควรเป็นพวกโลหะหนัก

ประโยชน์จากการใช้ธาตุกัมมันตรังสี

  1. ด้านธรณีวิทยา การใช้คาร์บอน-14 (C-14) คํานวณหาอายุของวัตถุโบราณ
  2. ด้านการแพทย์ใช้ไอโอดีน-131 (I-131) ในการติดตามเพื่อศึกษาความผิดปกติของต่อมไธรอยด์ โคบอลต์-60 (Co-60) และเรเดียม-226 (Ra-226) ใช้รักษาโรคมะเร็ง
  3. ด้านเกษตรกรรม ใช้ฟอสฟอรัส 32 (P-32) ศึกษาความต้องการปุ๋ยของพืช ปรับปรุงเมล็ดพันธุ์ที่ต้องการ และใช้โพแทสเซียม-32 (K–32) ในการหาอัตราการดูดซึมของต้นไม้
  4. ด้านอุตสาหกรรม ใช้ธาตุกัมมันตรังสีตรวจหารอยตําหนิเช่น รอยร้าวของโลหะหรือท่อขนส่งของเหลว ใช้ธาตุกัมมันตรังสีในการ ตรวจสอบและควบคุมความหนาของวัตถุใช้รังสีฉายบนอัญมณีเพื่อให้มีสีสันสวยงาม
  5. ด้านการถนอมอาหาร ใช้รังสีแกมมาของธาตุโคบอลต์-60 (Co–60) ปริมาณที่พอเหมาะใช้ทําลายแบคทีเรียในอาหาร จึงช่วยให้เก็บรักษาอาหารไว้ได้นานขึ้น

6. ด้านพลังงาน มีการใช้พลังงานความร้อนที่ได้จากปฏิกิริยานิวเคลียร์ในเตาปฏิกรณ์ปรมาณูของยูรีเนียม-238 (U-238) ต้มน้ําให้กลายเป็นไอ แล้วผ่านไอน้ําไปหมุนกังหัน เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า