มีประเด็นสำคัญ ดังนี้
คือ การนำคำที่มีความหมายอย่างหนึ่งไปใช้อีกความหมายหนึ่ง ซึ่งแตกต่างไปจากการยอมรับเดิม เช่น
สมชายชอบรับประทานอาหารจุกจิก
คือ การใช้สำนวนในความหมายที่ผิดไปจากข้อกำหนดของสังคม เช่น
ชายหนุ่มกับหญิงสาวคู่นั้น
ช่างเหมาะสมกันราวขนมผสมนํ้ายา
คือ การเรียงคำไม่ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ เช่น
หนังสือบนชั้นเขาไม่เคยอ่านเลย
คือ การใช้ประโยคที่ขาดส่วนสำคัญของประโยคหรือขาดคำบางคำไป ทำให้ความหมายของประโยคไม่ครบถ้วน เช่น
ร้านอาหารไทยย้อนยุคของคุณก้อยใกล้สยามพารากอน
คือ การใช้ประโยคที่สามารถตีความได้หลายอย่าง ทำให้สื่อสารแล้วเข้าใจไม่ตรงกัน เช่น
นิดเป็นคนใช้แดง
ประโยคนี้ตีความได้ ๒ ความหมาย
๑. นิดเป็นคนรับใช้ของแดง
๒. นิดเป็นนายของแดง หรือมีฐานะเหนือกว่าแดง จึงใช้ให้แดงทํางานให้
ดังนั้นต้องเขียน ๒ ประโยคนี้โดยมีคําบุพบทให้ชัดเจน
คือ การนำคำยืมภาษาอังกฤษแบบ “ทับศัพท์” มาใช้ปะปนใน ภาษาไทยโดยไม่จำเป็น เช่น
สาวสร้างข่าวถูกสามีตัวเองแบล็คเมล์
คือ การใช้คำที่ไม่มีความหมายต่อประโยค สามารถตัดทิ้งได้ หรือการใช้คำที่มีความหมายซ้ำซ้อนกันอยู่ เช่น
บ้านเรือนของผู้คนมีอยู่เป็นระยะ ๆ
บ้านเรือน หมายถึง ที่อยู่ของมนุษย์ ไม่จำเป็นต้องเพิ่มส่วนขยายว่า "ของผู้คน" เข้ามาอีก
ในศาลเจ้ามีกระถางธูปและที่จุดเทียนสำหรับทำการสักการะพระพุทธรูป
(ประโยคนี้ใช้คำหรือกลุ่มคำเกินความจำเป็น ได้แก่ "ทำการ")
คือ การใช้ประโยคภาษาไทยที่เลียนแบบวิธีการเรียบเรียงประโยคตามสำนวนภาษาต่างประเทศ เช่น
ฉันพบตัวเองอยู่ในบ้านคนเดียว
เกร็ดความรู้
การใช้สำนวนต่างประเทศที่พบได้บ่อยในประโยคภาษาไทยอีกหนึ่งคำก็คือ การใช้คำว่า "ถูก+คำที่มีความหมายเชิงบวก" เช่น เขาถูกเลือกให้เป็นหัวหน้า ประโยคลักษณะเช่นนี้เป็นการสำนวนต่างประเทศ (Passive Voice) ไม่ใช่ลักษณะประโยคที่ถูกต้องในภาษาไทย โดยการใช้คำว่า ถูก ในภาษาไทยต้องตามด้วยความหมายเชิงลบ เช่น หล่อนถูกตำหนิ เด็กถูกตีเป็นต้น