ความยาวพันธะ
ความยาวพันธะ (Bond length) คือ ระยะสั้นที่สุดที่นิวเคลียสของอะตอมทั้งสองสร้างพันธะกันแล้วเกิดความเสถียรของโมเลกุลเช่น
การเกิดโมเลกุลของแก๊สไฮโดรเจน โดยอะตอมของไฮโดรเจนจะเคลื่อนที่ใกล้กันมากที่สุดจนเกิดสมดุลระหว่างแรงดึงดูดกับแรงผลักที่ระยะ 74 พิกโกเมตร
ถ้าเข้าใกล้กันมากกว่านี้ แรงผลักจะเพิ่มมากขึ้นและโมเลกุลจะไม่เสถียร
ดังนั้น ที่ระยะนิวเคลียสของอะตอม 74 พิกโกเมตร จึงเป็นความยาวพันธะของ H-H

การเปลี่ยนแปลงพลังงานในการเกิดโมเลกุลของแก๊สไฮโดรเจน
ลักษณะสำคัญของความพันธะ
- ความยาวพันธะของอะตอมคู่หนึ่งๆ จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับชนิดของพันธะและพลังงานพันธะ
- คู่อะตอมของธาตุที่เหมือนกัน สามารถเกิดพันธะได้มากกว่าหนึ่งชนิด พันธะแต่ละชนิดจะมีความยาวพันธะไม่เท่ากัน คือ ความยาว พันธะพันธะเดี่ยว > พันธะคู่ > พันธะสาม
เช่น
C - C (154 pm) > C = C (134 pm) >
C
C (120 pm)
N - O (136 pm) > N = O (115 pm) >
N
O (108 pm)
- คู่อะตอมชนิดเดียวกัน ความยาวพันธะมีความสัมพันธ์กับพลังงานพันธะ คือ
ความยาวพันธะ พันธะเดี่ยว > พันธะคู่ > พันธะสาม
พลังงานพันธะ พันธะเดี่ยว < พันธะคู่ < พันธะสาม เช่น
ชนิดของพันธะ | C - C | C = C | C C |
ความยาวพันธะ | 154 pm | 134 pm | 120 pm |
พลังงานพันธะ | 348 kJ/mol | 614 kJ/mol | 839 kJ/mol |
- อะตอมคู่ที่เกิดจากธาตุหนึ่ง สร้างพันธะกับธาตุอื่นๆ ที่มีขนาดอะตอมต่างกัน ความยาวพันธะความสัมพันธ์กับขนาดของอะตอม คือ ความยาวพันธะเพิ่มขึ้นตามขนาดอะตอมที่ใหญ่ขึ้น
เช่น การเปรียบเทียบความยาวพันธะระหว่าง C กับธาตุอื่นๆ เป็นดังนี้

พลังงานพันธะ
พลังงานพันธะ (Bond energy) คือ พลังงานที่ใช้ในการสลายพันธะระหว่างอะตอมของธาตุภายในโมเลกุลที่อยู่ในสถานแก๊สออกเป็นอะตอมเดี่ยว โดยสารต่างชนิดกัน จำนวนโมลเท่ากัน พลังงานที่ใช้สลายพันธะก็ต่างกัน ในขณะเดียวกันการสลายพันธะชนิดเดียวกันในสารต่างชนิดกันจะใช้พลังงานสลายไม่เท่ากันเช่น
H2(g) + 436 kJ ----------------> 2H (g)
จากสมการแก๊ส H2 1 โมล ต้องการจะสลายเป็น H อะตอม 2 โมล ต้องใช้พลังงาน 436 kJ
HI (g) + 298 kJ----------> H (g) + I (g)
แก๊ส HI 1 โมล ต้องการสลายเป็น H และ I อะตอมอย่างละ 1โมล ต้องใช้พลังงาน 298 kJ
ลักษณะสำคัญของพันธะเคมี
- พันธะชนิดเดียวกัน พลังงานที่ใช้สลายพันธะและพลังงานที่ได้จากการเกิดพันธะจำนวนเท่ากัน จะมีค่าเท่ากันเสมอ แต่ถ้าสลายพันธะต่างชนิดกันจะใช้พลังงานต่างกัน
- พลังงานพันธะเกี่ยวข้องกับความแข็งแรงของพันธะ คือ พันธะเคมีที่ต้องใช้พลังงานสลายสูง จะมีความแข็งแรงของพันธะมากกว่าพันธะเคมีที่ต้องใช้พลังงานสลายต่ำ
ดังนั้น พันธะระหว่างอะตอมคู่เดียวกัน ความแข็งแรงของ พันธะเดี่ยว < พันธะคู่ < พันธะสาม
- ปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้น โดยทั่วไปจะมีการสลายพันธะเดิม และการเกิดพันธะใหม่ พลังงานที่เปลี่ยนแปลงไปในปฏิกิริยา จะเท่ากับผลต่างระหว่างพลังงานที่ระบบดูดเข้าไปสลายพันธะเดิมทั้งหมดกับพลังงานที่ระบบคายออกมาเมื่อเกิดพันธะใหม่ทั้งหมด
ΔH = (พลังงานที่ระบบดูด) - (พลังงานที่ระบบคาย)- ถ้าระบบดูดพลังงาน > คายพลังงาน จะได้ค่า ΔH มีเครื่องหมายเป็นบวก แสดงว่าระบบมีการเปลี่ยนแปลงเป็นแบบดูดพลังงาน (Endothermic Reaction)
- ถ้าระบบดูดพลังงาน < คายพลังงาน จะได้ค่า ΔH มีเครื่องหมายเป็นลบ แสดงว่าระบบมีการเปลี่ยนแปลงเป็นแบบคายพลังงาน (Exothermic Reaction)
ในปฏิกิริยาเคมีที่มีทั้งการสลายพันธะเดิมและการเกิดพันธะใหม่ ปฏิกิริยานั้นอาจจะเป็นการเปลี่ยนแปลงประเภทดูดหรือคายพลังงานก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพลังงานที่ใช้ในการสลายพันธะ กับพลังงานที่เกิดจากการสร้างพันธะใหม่เป็นเกณฑ์
ตัวอย่างการคำนวณพลังงานกับปฏิกิริยาเคมี
- จงคำนวณพลังงานความร้อนในการเกิด HCl จากปฏิกิริยา
H2(g)+ Cl2(g)-------------> 2HCl(g)กำหนดพลังงานพันธะ
(H - H) = 436 kJ/mol
(Cl - Cl) = 242 kJ/mol
(H - Cl) = 431 kJ/mol
วิธีทำ
พันธะที่สลาย คือ (H - H) จำนวน 1 โมล
และ (Cl - Cl) จำนวน 1 โมล
พลังงานที่ใช้สลายพันธะทั้งหมด
= (H - H) + D(Cl - Cl)
= 436 + 242 kJ
= 678 kJ
พันธะที่เกิดใหม่ คือ (H - Cl ) จำนวน 2 โมล
พลังงานที่เกิดจากการสร้างพันธะทั้งหมด
= 2(H - Cl)
= 2 (431) kJ
= 862 kJ
ดังนั้น พลังงานความร้อนของปฏิกิริยา
= (678) - (862)
= -184 kJ
ซึ่งเป็นปฏิกิริยาคายความร้อน