คำว่า “ไฟฟ้า” มีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษคือ electricity ซึ่งมีที่มาจากคำภาษากรีกอีกต่อหนึ่งคือคำว่า elektron ที่หมายถึง “อำพัน (amber)” เป็นวัสดุที่เกิดจากการแข็งตัวของยางสนจนมีลักษณะคล้ายแท่งพลาสติกโปร่งแสงสีเหลือง ซึ่งในสมัยโบราณเป็นที่รู้กันว่าเมื่อนำแท่งอำพันไปถูกับผ้าขนสัตว์ แท่งอำพันจะเกิดปรากฏการณ์ไฟฟ้าสถิต (Static Electricity) คือจะสามารถดึงดูดเศษใบไม้แห้งหรือฝุ่นได้
ในรูปด้านซ้ายมือ วัสดุที่วางพาดทำมาจากโลหะ เช่น เหล็ก มีคุณสมบัติเป็นตัวนำไฟฟ้า (conductor) คือมีความสามารถในการอนุญาตให้ประจุไฟฟ้าผ่านได้
ในขณะที่วัสดุ เช่น ไม้ หรือ ยาง ในรูปด้านขวามีคุณสมบัติเป็นฉนวนไฟฟ้า (insulator) คือมีไม่มีความสามารถในการให้ประจุไฟฟ้าผ่านได้หรืออีกนัยหนึ่งคือมีความสามารถในการกันประจุไฟฟ้าไม่ให้ผ่าน
หากพิจารณาลึกลงไปในระดับอะตอมโดยใช้แนวคิดอย่างง่ายจากหัวข้อที่ผ่านมา พบว่า
ในวัสดุที่เป็นฉนวน (insulator) อิเล็กตรอนเกือบทั้งหมดถูกตรึงแน่นอยู่กับนิวเคลียสของแต่ละอะตอม
ในทางกลับกัน สำหรับวัสดุที่เป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดีนั้น อิเล็กตรอนจำนวนหนึ่งถูกตรึงอยู่กับนิวเคลียสของแต่ละอะตอมอย่างหลวมๆ และสามารถเคลื่อนที่ได้ค่อนข้างอิสระภายในวัสดุ จึงเรียกอิเล็กตรอนกลุ่มดังกล่าวว่าเป็นอิเล็กตรอนอิสระ (free electron)
เมื่อ และ คือปริมาณประจุในลูกพิทลูกที่ 1 และ 2
ตามลำดับ ซึ่งต่อไปเพื่อความสะดวก
เราจะเรียกเป็นประจุ และประจุ
ตามลำดับ
คือระยะห่างระหว่างลูกพิททั้งสอง
คือค่าคงที่การแปรผันที่มีค่าเท่ากับ
N m2 /C2
ในทั้งสองกรณีพบว่าขนาดของแรง และ มีค่าเท่ากัน แต่มีทิศทางเป็นตรงข้าม ซึ่งสามารถมองว่าแรงที่กระทำระหว่างประจุ กับ มีลักษณะเป็นคู่ของแรงกิริยา-แรงปฏิกิริยาตามกฎข้อที่สามของนิวตัน