การดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก ๆ คือ
1) การดำเนินเศรษฐกิจทางการค้า
2) การดำเนินเศรษฐกิจด้านการลงทุน
3) การดำเนินเศรษฐกิจทางการเงิน
การค้าระหว่างประเทศ เกิดขึ้นเพราะว่าในแต่ละประเทศจะมีความแตกต่างกันในด้านทรัพยากรและด้านความชำนาญการ เช่น ในประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอากาศและภูมิศาสตร์เหมาะสมในการเพาะปลูกข้าว ทำให้ประเทศไทย
มีข้าวจำนวนมาก คุณภาพดี และต้นทุนการผลิตถูก ทำให้เรามีการส่งออกข้าวเป็นจำนวนมาก
หรือในส่วนของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ก็เป็นประเทศ
ที่มีความเชี่ยวชาญสะสมมาเป็นเวลานานในการผลิตนาฬิกา ทำให้ผลิตนาฬิกาคุณภาพดีได้เป็นจำนวนมาก และเป็นสินค้าส่งออก (export) ได้ ถ้าประเทศต่างๆ มีการผลิตสินค้าและบริการได้มากกว่าความต้องการของผู้บริโภคในประเทศตัวเอง ก็จะมีการส่งออกสินค้าและบริการ ในทางกลับกัน ถ้ารสนิยมหรือความต้องการของผู้บริโภคในประเทศมีมากกว่าสินค้า
ที่ผลิตได้ในประเทศ เช่น ผู้บริโภคชาวไทยมีรสนิยม
ความต้องการในการใช้ smartphone มากขึ้นและมากกว่าการผลิตในประเทศ ก็ทำให้ประเทศไทยต้องมีการนำเข้า (import) smartphone มาจากประเทศอื่น
ทำให้เสี่ยงต่อการแพ้ในการแข่งขันระหว่างประเทศ
เมื่อเรามีการเปิดประเทศสำหรับการค้าระหว่างประเทศมากขึ้น ผู้ผลิตในประเทศก็จะต้องเผชิญกับสินค้าคู่แข่งจากต่างประเทศ ถ้าไม่มีการพัฒนาตัวเองที่ดีพอ ผู้ผลิตในประเทศบางราย อาจจะต้องสูญเสียส่วนแบ่งการตลาด
ให้แก่สินค้านำเข้า หรืออาจต้องปิดตัวลง
เกิดปัญหาขาดดุลการค้า
เมื่อมูลค่าสินค้านำเข้ามากกว่าส่งออก ประเทศจะพบกับสภาวะขาดดุลการค้าได้ ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาตามมา นั่นก็คือ ประเทศมีการสูญเสียรายได้ภายในประเทศไปให้กับการนำเข้ามากกว่ารายได้ที่ได้รับมาจากต่างประเทศ ทำให้มีปริมาณเงินภายในประเทศที่สามารถนำมาเพื่อเพิ่มการลงทุนมีปริมาณลดลง
เป็นนโยบายที่ภาคธุรกิจและครัวเรือนสามารถติดต่อ
ซื้อขายระหว่างประเทศอย่างเสรี ปัจจุบันประเทศต่างๆ มีการเปิดการค้าเสรีมากขึ้น โดยไม่มี (หรือมีน้อย)
กำแพงทางภาษีหรือข้อจำกัดต่างๆ เพราะประเทศและ
ภาคธุรกิจในประเทศต่างๆ มีการขยายตัวมากขึ้น และเทคโนโลยีระบบทางการเงินระหว่างประเทศก็สะดวกสบายขึ้น ทำให้มีการติดต่อค้าขายระหว่างประเทศมากขึ้น และเป็นปัจจัยส่งเสริมให้หลายประเทศเปิดการค้าเสรีมากขึ้น
ผลของการเปิดการค้าเสรีนั้น ทำให้มีการค้าขายระหว่างประเทศมากขึ้น ผู้บริโภคมีทางเลือกในการบริโภคมากขึ้น
แต่ก็อาจจะมีการใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติเพื่อมาใช้
ในการผลิตฟุ่มเฟือยมากขึ้น และมีการพึ่งพาต่างประเทศมากขึ้นไปด้วย
เป็นนโยบายที่ภาครัฐใช้เพื่อจำกัดการนำเข้าและส่งออก เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศจากการแข่งขันจากต่างประเทศ และเพื่อควบคุมปริมาณการขาดดุลการค้า โดยสามารถทำได้หลายวิธี เช่น
การลงุทนระหว่างประเทศ เกิดขึ้นได้เมื่อภาคธุรกิจของประเทศหนึ่งเห็นโอกาสในการทำธุรกิจในอีกประเทศหนึ่ง
ซึ่งประเทศที่ได้รับการลงทุนก็จะได้มีเงินทุนมาขยายธุรกิจ ก่อให้เกิดการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น และทำให้เกิดการถ่ายทอดทางเทคโนโลยีอีกด้วย
การลงทุนระหว่างประเทศแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะคือ
การลงทุนทางการเงินข้ามประเทศโดยเสรี หรือการเปิดเสรีทางการเงินนั้นมีประโยชน์ เพราะทำให้ภาคธุรกิจในประเทศมีแหล่งเงินทุนเพิ่มขึ้น และสามารถเพิ่มทุนได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็มีข้อเสีย กล่าวคือ เจ้าหนี้หรือผู้ถือหุ้นจาก
ต่างประเทศจะสามารถถอนทุนและเคลื่อนย้ายทุนออกนอกประเทศได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน ซึ่งอาจก่อให้เกิดความไม่มีเสถียรภาพในระบบเศรษฐกิจได้
การจะทำการค้าระหว่างประเทศนั้น ต้องมีการใช้เงินตราเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน เนื่องจากประเทศต่างๆ
มีการใช้สกุลเงินที่แตกต่างกัน จึงต้องมีอัตราที่ใช้
ในการแลกเปลี่ยนเงิน
อัตราแลกเปลี่ยน คือ อัตราหรือราคาเงินสกุลหนึ่งเมื่อเทียบกับอีกสกุลหนึ่ง
การจัดการอัตราการแลกเปลี่ยนนั้น มี 3 ระบบ ดังนี้
อัตราค่าเงินบาทสามารถมีราคาสูงขึ้น (แข็งตัว) หรือ ถูกลง (อ่อนตัว) ได้ โดยสามารถอธิบายได้ดังนี้
อัตราค่าเงินบาทแข็งตัว
อัตราค่าเงินบาทแข็งตัวขึ้น ก็ต่อเมื่อความต้องการใช้เงินบาทสูงขึ้น ทำให้ราคาของเงินบาทสูงขึ้น เช่น ในปัจจุบัน
ค่าเงินบาทคือ 1 บาท มีค่า 0.03 USD ดังนั้น ถ้าราคาเงินบาทสูงขึ้นเป็น 1 บาท มีค่า 0.04 USD ก็แสดงว่าแข็งตัวขึ้น การที่ค่าเงินบาทแข็งตัวขึ้น ทำให้สินค้าไทยดูมีราคาแพงขึ้นในสายตาต่างชาติ เช่น ของราคา 100 บาท
เมื่อก่อนใช้เงิน 3 USD มาซื้อ เมื่อค่าเงินแข็งขึ้น ต้องใช้เพิ่มเป็น 4 USD ทำให้การส่งออกของไทยมีปริมาณลดลงได้
ในทางกลับกัน ของนำเข้าจากต่างประเทศจะดู
ถูกลงในสายตาคนไทย เช่น เดิมของราคา 3 USD เราใช้เงิน 100 บาทไปซื้อ เมื่อเงินบาทแข็ง เราก็ใช้เงินน้อยกว่า 100 บาทไปซื้อ ทำให้ไทยอาจจะมีการนำเข้ามากขึ้น
อัตราค่าเงินบาทอ่อนตัว
อัตราค่าเงินบาทอ่อนตัวลง ก็ต่อเมื่อความต้องการใช้เงินบาทลดลง ทำให้ราคาเงินบาทอ่อนลง เช่น ในปัจจุบันค่าเงินบาทคือ 1 บาท มีค่า 0.03 USD ดังนั้น ถ้าราคาเงินบาท
ต่ำลงเป็น 1 บาท มีค่า 0.02 USD ก็แสดงว่าค่าเงินบาทอ่อนตัวลง เมื่อค่าเงินบาทอ่อนตัวลง สินค้าไทยจะดูมีราคาถูกลงในสายตาต่างชาติ เช่น เดิม ของราคา 100 บาท ต้องใช้เงิน 3 USD มาซื้อ เมื่อเงินบาทอ่อนตัวลงก็ใช้เพียง
2 USD ทำให้ไทยส่งออกของได้มากขึ้น
ในทางกลับกัน ของที่นำเข้าจากต่างชาติจะมีราคาสูงขึ้นทำให้มีการนำเข้าน้อยลง หรือถ้าสินค้าที่นำเข้าเป็นปัจจัย
การผลิต เช่น น้ำมัน ก็อาจจะทำให้สินค้าอุปโภคบริโภค
ในประเทศมีราคาสูงขึ้นไปด้วย
มูลค่าการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
ในระยะเวลา 1 ปี จะถูกบันทึกไว้ในดุลการชำระเงิน
ซึ่งประกอบด้วย 3 บัญชีดังนี้
บัญชีเดินสะพัด : ประกอบด้วย 3 บัญชี
บัญชีทุนและการเงิน : เป็นการบันทึกรายการ
การเคลื่อนย้ายทุนระหว่างประเทศทั้งในทางตรงและ
การลงทุนทางการเงิน
บัญชีทุนสำรองระหว่างประเทศ : เป็นรายการแสดงทรัพพย์สินที่ประเทศถือไว้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ เช่น ทองคำ เงินตราต่างประเทศ ประเทศถือทุนสำรองระหว่างประเทศไว้ เพื่อเป็นทุนสำรองสำหรับการพิมพ์ธนบัตร
รวมถึงเป็นทุนที่เอาไว้ใช้แทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนอีกด้วย