ในระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม และในตลาดสินค้าส่วนใหญ่ของระบบเศรษฐกิจแบบผสม กลไกการตลาด หรือกลไกของอุปสงค์และอุปทาน จะเป็นตัวกำหนดราคาและปริมาณสินค้าที่ซื้อกันในตลาด ที่สำคัญที่ต้องทำความเข้าใจคืออุปสงค์ อุปทานคืออะไร และเป็นตัวกำหนดราคาสินค้าได้อย่างไร
อุปสงค์พูดกันง่าย ๆ คือ ปริมาณความต้องการซื้อสินค้าของผู้บริโภคในตลาดในระดับราคาต่าง ๆ เช่น ในราคามะพร้าว 25 บาทต่อลูก ปริมาณอุปสงค์ หรือความต้องการซื้อมะพร้าวคือ 100 ลูก ในราคามะพร้าว 30 บาทต่อลูก ปริมาณอุปสงค์ หรือความต้องการซื้อมะพร้าวคือ 75 ลูก
และในราคามะพร้าว 35 บาทต่อลูก ปริมาณอุปสงค์ หรือความต้องการซื้อมะพร้าวคือ 50 ลูก เป็นต้น กฎของอุปสงค์บอกไว้ว่า เมื่อระดับราคาสินค้าแพงขึ้น ความต้องการซื้อสินค้าจะลดลง และเมื่อระดับราคาสินค้าถูกลง ความต้องการซื้อสินค้าจะเพิ่มขึ้น
อุปทาน ก็คือ ปริมาณความต้องการขายสินค้าของผู้ผลิตในตลาดในระดับราคาต่าง ๆ เช่น ในตัวอย่างมะพร้าวราคามะพร้าว 25 บาทต่อลูก ปริมาณอุปทาน หรือความต้องการขายมะพร้าวอาจจะแค่เพียง 50 ลูก ในราคามะพร้าว 30 บาทต่อลูก ปริมาณอุปทานของการขายมะพร้าวคือ 75 ลูก และในราคามะพร้าว 35 บาทต่อลูก ปริมาณอุปทานของการขายมะพร้าวคือ 100 ลูก เป็นต้น กฎของอุปทานตรงข้ามกับกฎของอุปสงค์ นั่นคือเมื่อระดับราคาสินค้าแพงขึ้น ความต้องการขายสินค้าจะเพิ่มขึ้น และเมื่อระดับราคาสินค้าถูกลง ความต้องการขายสินค้าจะลดลง
อย่างที่ได้เกริ่นไว้ในข้างต้น กลไกการตลาดผ่านอุปสงค์และอุปทาน เป็นตัวกำหนดราคาตลาด หรือเราเรียกอีกอย่างว่า ราคาดุลยภาพ ณ ราคาดุลยภาพปริมาณความต้องการซื้อ (อุปสงค์) จะเท่ากับปริมาณความต้องการขาย (อุปทาน) นั่นคือเป็นจุดที่สมดุลในตลาด จากภาพในกราฟข้างบนจะเห็นว่า ณ จุดดุลยภาพ คือจุดที่เส้นอุปสงค์ตัดกับเส้นอุปทานมีราคามะพร้าวเท่ากับ 30 บาทต่อลูก ณ ราคานี้ปริมาณความต้องการซื้อ(อุปสงค์) = เท่ากับปริมาณความต้องการขาย (อุปทาน) = 75 ลูก ทำให้การซื้อขายไม่ก่อให้เกิดของเหลือหรือของขาดในตลาด ในราคาอื่นตลาดจะไม่สมดุล เช่น ในราคา 25 บาท ปริมาณความต้องการซื้อ(อุปสงค์) = 100 ลูก แต่ปริมาณความต้องการขาย (อุปทาน) = 50 ลูก ทำให้เกิดปริมาณอุปสงค์ส่วนเกินหรือของขาดตลาดอยู่ถึง 50 ลูก
จุดดุลยภาพเปลี่ยนแปลงได้ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์หรืออุปทาน
1) การเปลี่ยนแปลงในสินค้าแทนกันได้หรือสินค้าประกอบกัน เช่น Taxi กับ Uber เป็นสินค้าใช้ทดแทนกันได้ ถ้าราคา Taxi สูงขึ้นคนจะเปลี่ยนไปเรียก Uber มากขึ้นทำให้อุปสงค์ของ Uber เพิ่มขึ้น ส่วนตัวอย่างของสินค้าประกอบก็เช่น น้ำมันกับรถยนต์ ถ้าราคาน้ำมันสูงขึ้น คนก็อยากใช้รถน้อยลงอุปสงค์ของรถยนต์ก็ลดลงตามไปด้วย
2) การเปลี่ยนแปลงของระดับรายได้ ถ้าคนในสังคมมีรายได้เพิ่มขึ้น อุปสงค์ของสินค้าปกติ (normal goods) จะเพิ่มขึ้น เช่น ความต้องการซื้อเสื้อผ้าจะสูงขึ้นถ้าคนมีเงินมากขึ้น ในทางกลับกันถ้าคนในสังคมมีรายได้เพิ่มขึ้น อุปสงค์ของสินค้าด้อยคุณภาพ (inferior goods) จะลดลง เช่น คนจะมีความต้องการซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปลดลง แล้วเอาเงินไปซื้ออาหารที่มีคุณภาพมากขึ้น
3) การเปลี่ยนแปลงของรสนิยม ถ้าสินค้าบางประเภท เช่น เสื้อผ้า ไม่เป็นที่นิยมตามแฟชั่นเหมือนเมื่อก่อน ความต้องการซื้อของสินค้าประเภทนั้น ๆ ก็จะลดลง
4) การเปลี่ยนแปลงของความคาดหวัง
เช่น ถ้าคนคาดว่ากลางปีนี้น้ำจะท่วมมากนาข้าวจะล่มเยอะ ความต้องการซื้อข้าวช่วงต้นปีก็จะมากขึ้น เนื่องจากคนต้องการที่จะกักตุนข้าวไว้ล่วงหน้า
5) การเปลี่ยนแปลงของจำนวนผู้ซื้อ
เช่น ถ้าประชากรมีจำนวนเพิ่มขึ้น ความต้องการซื้ออาหาร เช่น ข้าว ก็จะเพิ่มมากขึ้นด้วย
1) การเปลี่ยนแปลงของราคาต้นทุนการผลิต ต้นทุนการผลิตมีผลต่อความต้องการขายในแง่ที่ว่าถ้าต้นทุนสูงขึ้น ผู้ผลิตก็ต้องการขายสินค้าในราคาที่สูงขึ้นตามไปด้วย หรือจะพูดได้ว่าในราคาเท่าเดิมก็จะมีจำนวนที่ต้องการขายน้อยลง เช่น ถ้าราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นเท่าตัว คงมีผู้ให้บริการรถทัวร์ไม่กี่เจ้าที่ยังมีความต้องการขายในราคาเท่าเดิม ดังนั้นถ้าปัจจัยการผลิตหรือต้นทุนการผลิตมีราคาที่สูงขึ้น อุปทานก็จะลดลง แต่ถ้าราคาปัจจัยการผลิตหรือต้นทุนการผลิตลดลง อุปทานก็จะเพิ่มขึ้น
2) การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
ถ้าเทคโนโลยีทันสมัยขึ้นและทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าลดลง อุปทานก็จะเพิ่มขึ้น
3) การเปลี่ยนแปลงของความคาดหวังหรือการคาดคะเน เช่น ถ้ามีการคาดคะเนว่าฤดูหนาวปีนี้จะหนาวเป็นพิเศษ ผู้ขายเสื้อผ้าก็จะผลิตเสื้อหนาวมากขึ้นเป็นพิเศษ ทำให้อุปทานของเสื้อหนาวเพิ่มขึ้น
4) การเปลี่ยนแปลงของจำนวนผู้ผลิต ถ้าจำนวนผู้ผลิตเพิ่มมากขึ้น อุปทานในตลาดก็จะเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
5) ภัยธรรมชาติ ภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม หรือพายุ อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อไร่นา โรงงาน ถนน และสาธารณูปโภคต่าง ๆ ทำให้ความสามารถในการผลิต หรือจำนวนผลผลิตลดลงได้