นโยบายการคลังในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ

ยอดวิว 0

แบบฝึกหัด

EASY

นโยบายการคลังในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ

HARD

นโยบายการคลังในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ

เนื้อหา

นโยบายการคลังในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ

นโยบายการคลังคืออะไร ?

      ดูเผินๆ อาจจะยาก แต่เอาจริงๆ คือเป็นนโยบายและมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลใช้ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและการกระจายรายได้ผ่านการกำหนดรายรับและรายจ่ายของรัฐ 

      รัฐสามารถใช้นโยบายการคลังผ่านการกำหนดรายจ่ายและรายได้ดังนี้ 

   รายจ่ายของรัฐ 

      รัฐบาลมีนโยบายด้านรายจ่ายหลักๆ แบ่งได้เป็น 4 กลุ่ม ดังนี้

  1. นโยบายรายจ่ายประจำเพื่อการบริหาร เช่น เงินเดือนข้าราชการ ค่าน้ำไฟ วัสดุอุปกรณ์ เป็นต้น
  2. นโยบายรายจ่ายลงทุน คือ รายจ่ายที่ก่อให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจ เช่น การสร้างถนน คลองชลประทาน เป็นต้น
  3. นโยบายรายจ่ายเงินโอน หรือเงินที่รัฐโอนให้ประชาชนบางกลุ่มโดยไม่ใช่ค่าจ้าง เช่น
    เงินสงเคราะห์คนชรา เงินสงเคราะห์ผู้ยากไร้ เป็นต้น
  4. นโยบายรายจ่ายเพื่อชำระเงินกู้ เมื่อรัฐมีการใช้จ่ายมากกว่ารายรับ หรือเรียกอีกอย่างว่า
    ใช้งบประมาณเกินดุล รัฐก็ต้องกู้เงินมาเพื่อให้
    พอรายจ่ายส่วนที่เกินมา ทำให้ก่อให้เกิดหนี้ที่เรียกว่า
    หนี้สาธารณะ เมื่อก่อหนี้ขึ้น รัฐบาลก็ต้องใช้จ่ายหนี้
    คืนเจ้าหนี้ต่อไปในอนาคต

   รายรับของรัฐ 

      รัฐบาลดำเนินนโยบายด้านรายรับหลักๆ อยู่ 2 ทาง ได้แก่

  1. นโยบายทางภาษีอากร
  2. นโยบายรายได้ที่ไม่ได้มาจากภาษีอากร เช่น การเก็บ
    ค่าธรรมเนียมต่างๆ

      ซึ่งในความเป็นจริงรายได้ของรัฐหลักๆ มาจาก
ภาษีอากร เช่น ภาษีเงินได้ส่วนบุคคล ภาษีเงินได้นิติบุคคล
(เก็บจากบริษัทและองค์กรต่างๆ) ภาษีมรดก ภาษีที่ดิน เป็นต้น ดังนั้น เราก็จะพูดกันได้ง่ายๆ ว่านโยบายการคลัง
เป็นนโยบายที่เกี่ยวกับการใช้จ่ายและการเก็บภาษีของรัฐนั่นเอง

      รัฐสามารถใช้โยบายการคลังในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ดังนี้ 

   นโยบายการคลังแบบผ่อนคลาย 

      คือการที่เศรษฐกิจตกต่ำและรัฐต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ รัฐต้องดำเนินนโยบายการคลังแบบผ่อนคลาย หรือง่ายๆ คือนโยบายที่ก่อให้เกิดการใช้จ่ายและลงทุนทางเศรษฐกิจโดยการเพิ่มการใช้จ่ายและลดภาษี เช่น การเพิ่มเงินรายจ่ายด้านการลงทุน โดยเพิ่มโครงการสร้างถนน ซึ่งจะทำให้เกิดการจ้างงานแก่ผู้รับเหมาและผู้ขายอุปกรณ์วัสดุก่อสร้าง
ทำให้เกิดการจ้างแรงงานในส่วนนี้เพิ่มขึ้น เงินก็ไปถึงมือแรงงานเพื่อจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น
      อีกตัวอย่างนึงคือการเพิ่มเงินโอนให้ผู้ยากไร้เพื่อเพิ่ม
การใช้จ่ายของประชาชน ในทางภาษีรัฐสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ด้วยการลดภาษี เมื่อภาษีลดลงประชาชนก็มีเงินใช้จ่ายมากขึ้น ภาคธุรกิจก็ได้เงินจากประชาชนมากขึ้น เศรษฐกิจก็จะกระตุ้น แต่สิ่งที่รัฐควรระวังคือ ถ้าใช้จ่ายมาก
แต่รายได้ไม่พอกับรายจ่ายนานๆ หนี้สาธารณะจะเพิ่มขึ้น
ซึ่งเป็นภาระต่อประเทศในอนาคตที่ต้องมาจ่ายหนี้ทดแทน 


   นโยบายการคลังแบบเข้มงวด 

      อันนี้คือตรงกันข้ามกับข้างบน กล่าวคือ นโยบาย
การคลังแบบเข้มงวดนั้นเป็นนโยบายที่เกี่ยวกับการลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มภาษี รัฐจะใช้นโยบายนี้ก็ต่อเมื่อเศรษฐกิจมีการเติบโตเร็วเกินไป ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดผลเสียในด้านการเพิ่มของอัตราเงินเฟ้อ หรือการเพิ่มตัวของราคาสินค้าในตลาดอย่างรวดเร็ว ซึ่งถ้ามันเร็วเกินไป
ภาคผู้บริโภคและผู้ผลิตก็อาจจะตั้งตัวไม่ทัน ทำให้เศรษฐกิจอ่อนไหว

      นอกจากรัฐจะสามารถใช้นโยบายการคลัง
ในการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจแล้ว รัฐยังสามารถใช้นโยบายการคลังในการลดการเหลื่อมล้ำทางสังคมได้ดังนี้ 

  1. ผ่านทางนโยบายรายจ่ายเงินโอน เช่น ถ้ารัฐอยากให้
    ผู้ยากไร้หรือเกษตรกรมีรายได้มากขึ้น รัฐก็อาจจะเพิ่มเงินอุดหนุนผู้ยากไร้ หรือเงินอุดหนุนสินค้าทางการเกษตรเป็นต้น 
  2. ผ่านทางนโยบายทางภาษี ภาษีรายได้ส่วนบุคคลอัตราก้าวหน้าเป็นนโยบายหนึ่งที่มาช่วยด้านความเหลื่อมล้ำเนื่องจากผู้มีรายได้สูงกว่าจะต้องจ่ายภาษีในอัตราก้าวหน้าหรืออัตราที่สูงกว่าผู้ที่มีรายได้น้อย
    อีกตัวอย่างคือภาษีมรดก เนื่องจากที่มีฐานะและได้มรดกเท่านั้นถึงจะต้องจ่าย ผู้ยากไร้ไม่มีมรดกไม่ต้องจ่ายเป็นต้น 

การคลังภาครัฐ

      ในทุกๆ ปี รัฐจะต้องทำงบประมาณรายจ่าย เพื่อให้เหมาะสมกับแนวทางการพัฒนาประเทศในปีนั้นๆ 
ถ้างบประมาณนั้นมีรายได้เท่ากับรายรับ เราเรียก
กันว่า งบประมานสมดุล
ถ้างบประมาณนั้นมีรายได้มากกว่ารายรับ เราเรียกกันว่า งบประมาณเกินดุล
 
ถ้างบประมาณนั้นมีรายได้น้อยกว่ารายรับ เราเรียก
กันว่า งบประมาณขาดดุล
นั้นเอง 

      ถ้ารัฐบาลมีการดำเนินงบประมาณขาดดุล รัฐบาลต้อง
กู้ยืมเงินมาเพื่อให้เพียงพอกับการใช้จ่าย หนี้ในส่วนนี้
จะเรียกว่า หนี้สาธารณะ โดยรัฐบาลสามารถกู้เงินได้จาก
2 แหล่ง คือ

  1. แหล่งเงินกู้ในประเทศ ได้แก่ การกู้จากธนาคารพาณิชย์ หรือกู้จากประชาชนผ่านการขายพันธบัตรรัฐบาล
  2. แหล่งเงินกู้ต่างประเทศ เป็นการกู้ยืมผ่านสถาบันการเงิน องค์กรหรือรัฐบาลต่างประเทศ การกู้เงินต่างประเทศทำให้ประเทศไทยต้องพึ่งพาต่อประเทศอื่น แต่ก็มีประโยชน์ในการเพิ่มสภาพคล่องในประเทศ ถ้ากู้ยืม
    ในประเทศสภาพคล่องในประเทศอาจลดลงได้
    เพราะเงินที่ประชาชนจะเอาไว้ใช้จ่าย หรือธนาคารพาณิชย์จะเอาไว้ให้เอกชนกู้จะลดลง เพราะเอามาให้
    รัฐกู้นั่นเอง 

      หนี้สาธารณะเป็นภาระของรัฐบาลและประชาชน
ในรุ่นต่อๆ ไปที่ต้องมาใช้คืน แต่ก็มีประโยชน์ในการนำเอาเงินมาลงทุนเพื่อพัฒนาประเทศ 
ถ้ารัฐบาลมีรายได้มากกว่ารายรับ เงินที่เหลือนั้นจะถูกเก็บไว้ในบัญชีเงินคงคลัง ซึ่งถือว่าเป็นเงินออมของประเทศนั่นเอง 

ทีมผู้จัดทำ