เงิน เงินเฟ้อ และเงินฝืด

ยอดวิว 0

แบบฝึกหัด

EASY

เงิน ดอกเบี้ย เงินเฟ้อ และเงินฝืด

HARD

เงิน ดอกเบี้ย เงินเฟ้อ และเงินฝืด

เนื้อหา

เงิน เงินเฟ้อ และเงินฝืด

เงิน หมายถึงอะไร?

      เงินเป็นสิ่งที่เราทุกคนก็คงรู้จักเป็นอย่างดี เพราะทุกคนต้องใช้เงินเพื่อซื้อสินค้าและบริการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน
เราเคยสงสัยไหมว่า ทำไมร้านค้าถึงได้ยอมขายปากกา
แท่งหนึ่งให้เรา โดยแลกกับกระดาษใบหนึ่งที่ไม่ได้มีคุณค่าในตัวของมันเองเลย

      เงิน หมายถึง สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าเป็นสิ่งที่สามารถใช้จ่ายในการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการต่างๆ ได้


ความสำคัญของเงิน

  1. การเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน (Medium of Exchange) เป็นหน้าที่ที่สำคัญที่สุดของเงิน เหตุผลที่เราใช้ “เงิน” ก็เพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการซื้อสินค้าและบริการต่าง ๆ ลองนึกภาพถึงสังคมที่ไม่มีเงินสด ดังเช่นในอดีตที่เป็นระบบที่เรียกว่า “Barter system” หรือ การเอาข้าวมาแลกเป็ด เอาหมูมาแลกเกลือ เอาน้ำตาลไปแลกเม็ดธัญพืช ซึ่งการที่จะหาคนๆ หนึ่งที่อยากได้ของของเราและมีของที่เราอยากได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
    ไม่เหมือนการที่เราสามารถใช้เงินในการซื้ออะไรก็ตามที่เราอยากได้
  2. การเป็นเครื่องวัดมูลค่า (Standard Unit of Account) เงินเป็นเครื่องแสดงมาตรฐานในการวัดมูลค่าสินค้าและบริการต่าง ๆ เช่น รองเท้าคู่หนึ่งมูลค่า 300 บาท น้ำเปล่าขวดหนึ่งมูลค่า 7 บาท เป็นต้น มาตรฐานนี้ทำให้เราสามารถเปรียบเทียบมูลค่าของสินค้าและบริการต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดายมากขึ้น ทำให้เราทราบว่าสิ่งใดมูลค่ามากน้อยกว่าสิ่งใด หากเป็นระบบที่ไม่มีเงิน เราอาจไม่มีตัวเทียบว่าควรแลกข้าว
    กี่กระสอบเพื่อที่จะได้รองเท้าหนึ่งคู่
  3. การเป็นเครื่องรักษามูลค่า (Store of Value)
    เงินเป็นเครื่องรักษาความสามารถในการซื้อสินค้าและบริการต่างๆ ที่สะดวกในการเก็บรักษามากกว่า
    การเก็บรักษาผลตอบแทนในรูปของสินค้าหรือผลผลิตที่เก็บรักษายาก เช่น พอเราได้เงินจากการขายดอกไม้
    เราก็สามารถเก็บเงินนั้นไว้ใช้เมื่อไหร่ก็ตามที่เราต้องการซื้อสินค้าหรือบริการ เราอาจเคยได้ยินคำว่า เงินเป็นสิ่งที่มีสภาพคล่อง ซึ่งหมายความว่า เงินสามารถเปลี่ยนสภาพเป็นอย่างอื่นได้อย่างง่ายดายจากการใช้จ่ายของเรา แต่การเก็บรักษาเงินสำหรับอนาคต ก็อาจได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าต่างๆ ที่ทำให้
    ความสามารถในการซื้อของเงินจำนวนเท่าเดิมเปลี่ยนแปลงไป (รายละเอียดเพิ่มเติมในเงินเฟ้อและเงินฝืด)
  4. การเป็นมาตรฐานในการชำระหนี้ (Standard of Deferred Payment) ในบางครั้ง การซื้อสินค้าและบริการอาจใช้เวลา ทำให้ต้องแบ่งชำระหรือเป็นหนี้ที่ต้องชำระในภายหลัง ซึ่งเงินจะทำหน้าที่เป็นมาตรฐานที่ดี
    ในการชำระเงินต่างเวลานี้ เนื่องจากเป็นสื่อกลางใน
    การแลกเปลี่ยนที่มีมูลค่าที่คนยอมรับกันโดยทั่วไป

ปริมาณเงิน (Money Supply)

      จากนิยามของเงินข้างต้น เราอาจนึกถึงเงินใน
หลากหลายรูปแบบ เช่น เงินสดที่เรามีอยู่ในกระเป๋าสตางค์ เงินที่เราฝากไว้ในธนาคาร และเงินตราต่างประเทศ เป็นต้น แต่จริงๆ แล้วในทางเศรษฐศาสตร์ เมื่อพูดถึง “เงิน”
จะหมายถึงอะไรได้บ้าง

      นักเศรษฐศาสตร์ได้แบ่งปริมาณเงิน หรือเงินที่หมุนเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจ ออกเป็น 2 ลักษณะ คือ

ปริมาณเงินในความหมายแคบ (Narrow Money) หรือ M1 หมายถึง เงินที่สามารถใช้
ในการซื้อขายสินค้าหรือบริการได้โดยตรง ประกอบด้วย ธนบัตร เหรียญกษาปณ์ และเงินฝากกระแสรายวัน
(เงินฝากประเภทที่เจ้าของบัญชีสามารถจ่ายเงินได้ด้วยการเขียนเช็คสั่งจ่ายเงิน)
ปริมาณเงินในความหมายกว้าง (Broad Money) หรือ M2 เงินในความหมายที่กว้างขึ้น
จะหมายรวมถึงเงินที่อยู่ในรูปแบบที่อาจไม่สามารถใช้ได้ในทันที แต่ก็สามารถแปลงเป็นเงินสดได้โดยง่าย ประกอบด้วย M2 = M1 + เงินฝากออมทรัพย์ธนาคารพาณิชย์ + เงินฝากประจำธนาคารพาณิชย์ + เงินฝากประเภทอื่น ๆ

เงินเฟ้อ (Inflation)

      เวลาที่ไปทานข้าวที่ร้านอาหาร เคยได้ยินคุณตา
คุณยาย หรือ คุณพ่อ คุณแม่ พูดว่า “โอย แต่ก่อนกินก๋วยเตี๋ยวชามละแค่ 10 บาท เอง” หรือไม่

      คำพูดดังกล่าว สะท้อนถึงภาวะที่เรียกว่า เงินเฟ้อ
ได้เป็นอย่างดี

      เงินเฟ้อ หมายถึง ภาวะที่ราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องและมีปริมาณเงินในเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น โดยในภาวะนี้ เงินมีอำนาจในการซื้อที่ลดลง ยกตัวอย่างเช่น เงิน 20 บาท เคยซื้อปากกาได้ 1 แท่ง แต่เมื่อปากการาคาสูงขึ้นเป็น 24 บาท เราก็ไม่สามารถซื้อปากกาได้ด้วยเงิน 20 บาทอีกต่อไป หรือก็คือความสามารถในการซื้อของเราลดลงด้วยเงินเท่าเดิม

      เงินเฟ้ออาจเกิดจากความต้องการสินค้าและบริการ
ที่เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือการที่ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น
ส่งผลให้ราคาสินค้าและบริการสูงขึ้น 

ในภาวะเงินเฟ้อ ผู้ที่เสียเปรียบ คือ

  • เจ้าหนี้ เนื่องจากหนี้สินที่จะได้รับการชำระในจำนวน
    เท่าเดิม เช่น 100 บาท มีมูลค่าที่น้อยกว่าตอนที่ให้กู้ยืมไป
  • ผู้ที่มีรายได้แน่นอน เนื่องจากได้รายรับเท่าเดิม แต่สินค้าและบริการมีราคาแพงขึ้น ทำให้ต้องซื้อสินค้าและบริการปริมาณเท่าเดิมด้วยจำนวนเงินที่มากขึ้น

ผู้ที่ได้เปรียบในภาวะเงินเฟ้อ คือ

  • ลูกหนี้ เนื่องจากเงินที่ต้องชำระหนี้มีมูลค่าน้อยลง
    จึงเสมือนว่ามีภาระหนี้สินน้อยลง
  • นักธุรกิจ เนื่องจากได้รายได้มากขึ้นจากการปรับตัวขึ้น
    ของราคาสินค้าและบริการ

เงินฝืด (Deflation)

      เงินฝืด เป็นภาวะตรงกันข้ามกับภาวะเงินเฟ้อ
โดยหมายถึง ภาวะที่ระดับราคาสินค้าและบริการลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้เงินมีอำนาจในการซื้อเพิ่มขึ้น
โดยปริมาณเงินในเศรษฐกิจลดลง เช่น กระเป๋า 1 ใบ ราคา 200 บาท แต่ตอนนี้ใช้เงินเพียง 150 บาท ก็สามารถซื้อกระเป๋าใบเดิมนั้นได้

     ภาวะเงินฝืดมีสาเหตุหลายประการ เช่น ความต้องการ
ซื้อสินค้าและบริการของประชาชนลดลง ผู้ผลิตก็อาจต้องการผลิตสินค้าและบริการในปริมาณที่น้อยลง ทำให้ลดกำลังการผลิตลง ส่งผลให้เศรษฐกิจซบเซาในที่สุด โดย
ในภาวะเงินฝืด ผู้ที่เสียเปรียบ / ได้เปรียบ จะตรงกันข้ามกับภาวะเงินเฟ้อ ดังนี้

ผู้ที่เสียเปรียบในภาวะเงินฝืด คือ

  • ลูกหนี้ เนื่องจากเงินที่ต้องชำระหนี้ที่มีมูลค่ามากขึ้น
    จึงเสมือนว่ามีภาระหนี้สินมากขึ้น

  • นักธุรกิจ เนื่องจากได้รายได้น้อยลงจากการปรับตัวลง
    ของราคาสินค้าและบริการ

ผู้ที่ได้เปรียบในภาวะเงินฝืด คือ

  • เจ้าหนี้ เนื่องจากหนี้สินที่จะได้รับการชำระในจำนวนเท่าเดิมมีมูลค่าสูงขึ้น

  • ผู้ที่มีรายได้แน่นอน เนื่องจากได้รายรับเท่าเดิม แต่ราคาสินค้าถูกลง ทำให้มีอำนาจในการซื้อสินค้าและบริการ
    มากขึ้น


อัตราเงินเฟ้อ / เงินฝืด ที่เหมาะสม

      แล้วอัตราเงินเฟ้อหรือเงินฝืดระดับไหนที่เรียกว่าดี
ยิ่งอัตราเงินเฟ้อต่ำก็ยิ่งดีไม่ใช่หรือ เพราะแปลว่าราคาสินค้าไม่ค่อยแพงขึ้น

      แต่ลองจินตนาการว่าเราเป็นร้านขายกระเป๋า และราคากระเป๋าไม่ว่าจะผ่านไปซักกี่ปี ก็มีราคาเท่าเดิม ในฐานะที่เราเป็นคนขาย เราจะรู้สึกอย่างไร? เราย่อมหวังว่าเราจะสามารถขายกระเป๋าได้ในราคาที่สูงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้นอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำมาก หรือการที่ราคากระเป๋าที่เราขาย
แทบไม่เปลี่ยนแปลง ทำให้กำลังใจในการขายของเราลดลง และไม่มีแรงจูงใจในการพัฒนาสินค้าให้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี หากอัตราเงินเฟ้อสูงมาก ก็จะกระทบต่อฐานะและ
ความเป็นอยู่ของเรา เพราะสินค้าและบริการมีราคาสูงขึ้น
จนเราไม่สามารถบริโภคได้เท่าเดิม

      ดังนั้นแล้ว คำตอบคือ อัตราเงินเฟ้อหรือเงินฝืดทำให้เศรษฐกิจมีเสถียรภาพด้านราคา กล่าวคือ การมีอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำและไม่ผันผวน ราคาสินค้าไม่เปลี่ยนแปลงขึ้นหรือลงรวดเร็วจนเกินไป ทำให้ประชาชนสามารถตัดสินใจวางแผนการบริโภค การผลิต การลงทุน ได้อย่างง่ายดาย
มากขึ้น และสร้างภาวะที่สนับสนุนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ


การแก้ไขปัญหาภาวะเงินเฟ้อ :
ลดปริมาณเงินที่หมุนเวียนในประเทศ

  1. การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายทางการเงิน  
    เมื่อเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น ธนาคารกลางต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อส่งสัญญาณให้ธนาคารพาณิชย์
    ปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงเพื่อจูงใจให้คนฝากเงินมากขึ้น ใช้จ่ายน้อยลง และกู้ยืมน้อยลง เมื่อความต้องการสินค้าและบริการลดลง ระดับราคาสินค้าก็จะลดลง ทำให้ชะลอเงินเฟ้อได้

  2. การจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาล ภาวะเงินเฟ้อ คือ
    ภาวะที่มีปริมาณเงินมากในระบบเศรษฐกิจ ดังนั้นการที่ธนาคารกลางขายพันธบัตรรัฐบาลจะเป็นการนำเงินออกจากระบบ (ประชาชน) ทำให้ชะลอเงินเฟ้อได้

  3. การเพิ่มอัตราเงินสดสำรองตามกฎหมายของธนาคารพาณิชย์ เมื่อธนาคารพาณิชย์ต้องสำรองเงินสดมากขึ้น จะทำให้ความสามารถในการปล่อยกู้ยืมน้อยลง ทำให้นำไปสู่การใช้จ่ายของประชาชนที่ลดลงและชะลอเงินเฟ้อได้

  4. การใช้งบประมาณเกินดุล  เพิ่มอัตราภาษีอากรเพื่อให้ประชาชนใช้จ่ายน้อยลง เมื่อความต้องการสินค้าและบริการลดลง ระดับราคาสินค้าก็จะลดลง ทำให้ชะลอเงินเฟ้อได้


การแก้ไขภาวะเงินฝืด : เพิ่มปริมาณเงินที่หมุนเวียนในประเทศ

  1. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายทางการเงิน 
    เมื่อเศรษฐกิจซบเซา ประชาชนไม่อยากใช้จ่าย
    ธนาคารกลางต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง
    เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ปรับดอกเบี้ยลงเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ จูงใจให้คนหันเอาเงินออมมาใช้จ่าย
    ในการบริโภคหรือการลงทุนมากขึ้น เมื่อความต้องการสินค้าและบริการเพิ่มสูงขึ้น ระดับราคาก็จะปรับสูงขึ้น
    ตามไปด้วย

  2. การรับซื้อคืนพันธบัตรรัฐบาล ภาวะเงินฝืด คือ
    ภาวะที่มีปริมาณเงินน้อยในระบบเศรษฐกิจ ดังนั้น
    การที่ธนาคารกลางรับซื้อคืนพันธบัตรรัฐบาล
    จะเป็นการนำเงินเข้าระบบให้แก่ประชาชน เป็นการกระตุ้นการหมุนเวียนเงินในระบบเศรษฐกิจ ช่วยบรรเทาปัญหาภาวะเงินฝืดได้

  3. การลดอัตราเงินสดสำรองตามกฎหมายของธนาคารพาณิชย์  เมื่อธนาคารพาณิชย์ต้องสำรองเงินสดน้อยลง จะทำให้ความสามารถในการปล่อยกู้ยืมมากขึ้น
    ทำให้นำไปสู่การใช้จ่ายของประชาชนที่เพิ่มมากขึ้น เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ และบรรเทาปัญหาภาวะเงินฝืดได้

  4. การใช้งบประมาณขาดดุล  เพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเมื่อรัฐบาลใช้จ่ายจะทำให้
    ความต้องการสินค้าและบริการเพิ่มสูงขึ้น ระดับราคาก็จะปรับสูงขึ้นตามไปด้วย

ทีมผู้จัดทำ