ในทางเศรษฐกิจ ตลาดไม่ใช่สถานที่ที่ใช้แลกเปลี่ยน
ซื้อขายสินค้าเท่านั้น แต่เป็นระบบที่ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย เช่น ตลาดแรงงาน ไม่ได้หมายถึงสถานที่ที่คนเอาแรงงานของ
ตัวเองมานำเสนอขาย แต่หมายถึงระบบที่ก่อให้เกิดการซื้อชายแรงงานซึ่งรวมถึงการประกาศรับสมัครงาน สัมภาษณ์
ต่อรองราคาค่าแรงงาน และการรับคนเข้าทำงาน โดยผู้ซื้อคือนายจ้าง สินค้าคือแรงงาน และผู้ขายในตลาดคือลูกจ้าง เป็นต้น
นักเศรษฐศาสตร์แบ่งประเภทของตลาดตามลักษณะ
การแข่งขันเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ
1. ตลาดแข่งขันสมบูรณ
2. ตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์
โดยตลาดแต่ละประเภทมีรายละเอียดดังนี้
ตลาดแข่งขันสมบูรณ์มีลักษณะคือ
ด้วยเหตุผลทั้ง 4 ประการแรก ผู้ซื้อและผู้ขายรายใดรายหนึ่ง จึงไม่มีอิทธิพลในการกำหนดราคาในตลาด เพราะว่าตลาดมีผู้ซื้อผู้ขายเยอะ สินค้าก็เหมือนกัน
และทุกคนรู้ข้อมูลซึ่งกันและกัน ถ้ามีผู้ขายบางเจ้าลดราคาเพื่อหวังจะขายของให้ได้มากขึ้น เจ้าอื่นก็จะลดตามด้วยทำให้กำไรต่ำลงกันหมดทั้งตลาด แถมยังขายของไม่ได้มากขึ้น
อีกด้วย จึงไม่มีแรงจูงใจให้ลดราคาแต่แรก
ดังนั้นราคาจะถูกกำหนดโดยความต้องการซื้อ (อุปสงค์) และความต้องการขาย (อุปทาน) ในตลาด
ตลาดสมบูรณ์ในโลกความจริงอาจจะมีไม่มาก แต่ตัวอย่างที่ใกล้เคียงที่สุดอย่างหนึ่งคือตลาดสินค้าทาง
การเกษตร เนื่องจากสินค้าในตลาดมีลักษณะที่เหมือนกัน และทดแทนกันได้ จำนวนผู้ซื้อผู้ขายมีปริมาณมากและผู้ขายก็สามารถเข้าและออกตลาดได้อย่างเสรี โดยไม่มีการกีดกัน
ผู้ขายรายใหม่ และข้อมูลราคา คุณภาพ และการผลิตสินค้าทางการเกษตรของแต่ละเจ้าก็คล้าย ๆ กัน ผู้ซื้อและผู้ขายจึงมีความรู้สมบูรณ์เกี่ยวกับตลาด
คือ ตลาดที่ราคาไม่ได้ถูกกำหนดโดยความต้องการซื้อ (อุปสงค์) และความต้องการขาย (อุปทาน) ในตลาด
เพราะตลาดมีลักษณะบางอย่างที่ต่างออกไปจากตลาดแข่งขันสมบูรณ์ ซึ่งแตกต่างอย่างไรบ้างนั้น ขึ้นอยู่กับว่าเป็นตลาดรูปแบบไหน โดยตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์แบ่งได้เป็น 3 ตลาดหลัก ดังนี้
ตลาดผูกขาด คือ ตลาดที่มีผู้ค้ารายเดียวและสามารถกีดกันไม่ให้คู่แข่งเข้ามาแข่งได้ แต่มีผู้ซื้อมากมาย ตัวอย่างเช่น การประปาแห่งประเทศไทย
เป็นผู้จำหน่ายน้ำประปาเพียงแห่งเดียวในประเทศ สาเหตุของการเป็นผู้ค้ารายเดียวในตลาดมีหลายสาเหตุ เช่น การได้รับสัมปทาน การถือสิทธิบัตร หรือลิขสิทธิ์ของเทคโนโลยีบางอย่างทำให้ไม่มีใครสามารถเลียนแบบได้ หรือเป็นการลงทุนที่ต้องใช้ต้นทุนสูงมากจนไม่มีคู่แข่งในการลงทุนได้
หรือถ้ามีคู่แข่งมาแบ่งตลาดก็อาจจะทำให้ขาดทุนได้
ในกรณีนี้ตลาดผูกขาดจึงสามารถทำให้ผู้ผลิตผลิตสินค้าได้ในราคาเฉลี่ยต่อชิ้นในราคาที่ถูก และไม่ขาดทุนจากการลงทุนตั้งต้นที่สูงนั้นเอง ในตลาดผูกขาดเนื่องจากมีผู้ค้ารายเดียว
ผู้ค้าจึงเป็นผู้กำหนดราคาในตลาดโดยถือกำไรสูงสุด
เป็นสำคัญ
ตลาดที่มีผู้ค้าน้อยราย คือ ตลาดที่มีผู้ค้าไม่กี่ราย (แต่มากกว่า 1 ราย) ที่ทำการค้าในตลาด ตัวอย่างเช่น บริษัทที่ให้บริการสัญญาณโทรศัพท์มือถือในประเทศไทยมี 5 บริษัท คือ DTAC AIS TRUE CAT และ TOT ตลาดแบบที่มีผู้ค้าน้อยรายนี้ สินค้าที่ค้าขายของแต่ละบริษัทจะไม่แตกต่างกันมาก (เช่น สัญญาณมือถือของหลายค่ายก็เป็น 3G เหมือนกัน) และการตัดสินในเรื่องราคาหรือจำนวนการผลิต ส่วนมากจะขึ้นอยู่กับกลยุทธของแต่ละบริษัทเพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งตลาด
ตลาดในรูปแบบนี้จะไม่ค่อยมีผู้ค้ารายใหม่เข้ามาในตลาด เพราะการลงทุนแรกเข้าสูงมาก เช่น ในตลาดผู้ให้บริการสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ผู้เข้าใหม่ต้องลงทุนประมูลสัญญาณและต้องลงทุนสร้างเสาสัญญาณทั่วประเทศ
ซึ่งเป็นการลงทุนที่สูงมาก
ตลาดแบบกึ่งแข่งขันผูกขาดนี้ เป็นตลาดที่มีผู้ค้าหรือผู้ผลิตหลายรายและเข้าออกจากตลาดได้อย่าง
ค่อนข้างเสรี สินค้าในตลาดจะใกล้คียงกัน แต่ไม่สามารถทดแทนกันได้เลยซะทีเดียว เช่น สบู่ หรือแชมพู ซึ่งผู้ค้าในแต่ละเจ้าจะมีสูตรแชมพูที่เป็นจุดเด่นของตัวเอง ทำให้สินค้ามีความแตกต่างกันในระดับหนึ่งในสายตาผู้บริโภค ทำให้ผู้แข่งขันแต่ละรายเป็นผู้กำหนดราคาสินค้าได้