อารยธรรมของโลกยุคโบราณ
ความเจริญของมนุษย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
อารยธรรมโลกตะวันตก: อารยธรรมเมโสโปเตเมีย
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
67%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
อารยธรรมโลกตะวันตก: อารยธรรมอียิปต์
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
อารยธรรมโลกตะวันตก: อารยธรรมกรีก
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
อารยธรรมโลกตะวันตก: อารยธรรมโรมัน
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
67%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
อารยธรรมโลกตะวันออก: อารยธรรมอินเดีย
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
67%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
อารยธรรมโลกตะวันออก: อารยธรรมจีน
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
33%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
การติดต่อระหว่างโลกตะวันออกและโลกตะวันตก
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
พัฒนาการของมนุษยชาติในสมัยกลางสู่ยุคแห่งการปฏิวัติ การปฏิรูป และยุคแห่งความสว่างไสวทางปัญญา
ระบบฟิวดัลหรือระบบศักดินาสวามิภักดิ์ (Feudalism)
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
33%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
สงครามครูเสด (Crusade War)
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
33%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
การฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ (Renaissance)
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
33%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
ยุคแห่งการสำรวจทางทะเล (Age of Exploration)
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
33%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
67%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
การปฏิรูปศาสนา (Religious Reformation)
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
67%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Revolution)
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
การปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution)
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
67%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
67%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
ยุคแห่งความสว่างไสวทางปัญญา (Age of Enlightenment)
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
67%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
พัฒนาการของโลกในสมัยจักรวรรดินิยมถึงปัจจุบัน
พัฒนาการของรัฐชาติในยุโรป
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
33%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
33%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
ยุคจักรวรรดินิยม
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
67%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
สงครามโลกครั้งที่ 1
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
67%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
สงครามโลกครั้งที่ 2
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
33%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
สงครามเย็น
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
33%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
67%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
ปัญหาตะวันออกกลาง
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
ความขัดแย้งของมนุษยชาติ
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
33%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
ความร่วมมือของมนุษยชาติ
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
67%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
สถานการณ์ของโลกในคริสต์ศตวรรษที่ 21 ถึงปัจจุบัน
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
33%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
33%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย

ระบบฟิวดัลหรือระบบศักดินาสวามิภักดิ์ (Feudalism)

ยอดวิว 0

แบบฝึกหัด

EASY

ระบบฟิวดัลหรือระบบศักดินาสวามิภักดิ์ (Feudalism) (ชุดที่ 1)

HARD

ระบบฟิวดัลหรือระบบศักดินาสวามิภักดิ์ (Feudalism) (ชุดที่ 2)

เนื้อหา

ระบบฟิวดัลหรือระบบศักดินาสวามิภักดิ์ (Feudalism)

        "ระบบฟิวดัล" หรือ "ระบบศักดินาสวามิภักดิ์" เป็นระบบการเมืองการปกครอง สังคม เศรษฐกิจ ของยุโรปสมัยกลาง ซึ่งเป็นลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับขุนนาง ขุนนางระดับสูง กับขุนนางระดับรองลงมาและเจ้าของที่ดินกับพลเมืองที่ทำมาหากินภายในที่ดินนั้น
        คำว่า Feudalism มาจากคำว่า ฟีฟ (Fief) แปลว่า ที่ดิน ซึ่งหมายถึงที่ดินซึ่งเป็นพันธสัญญาระหว่างเจ้านายที่เป็นเจ้าของที่ดินเรียกว่า ลอร์ด (Lord) กับผู้รับมอบที่ดิน และหาประโยชน์ในที่ดิน เรียกว่า วัซัล (Vassal) โดยวัสซัลจะต้องให้ความเคารพ จงรักภักดี รับใช้ และปกป้องเจ้านายหรือลอร์ดเป็นการตอบแทน ในขณะที่ลอร์ดจะต้องให้ความคุ้มครองดูแลแก่วัสซัลเป็นการตอบแทน


ภาพที่ 1  ตัวอย่างภาพวาดสมัยกลาง ที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างลอร์ดและวัสซัล
ที่มา: https://en.wikipedia.org/wiki/Feudalism#/media/File:Hommage_du_comt%C3%A9_de_Clermont-en-Beauvaisis.png
        ระบบฟิวดัลพัฒนามาจากการปกครองของจักรวรรดิโรมันนยุคที่พวกอนารยชนรุกราน กอปรกับดินแดนของจักรวรรดิที่มีอาณาเขตกว้างขวาง ประชาชนจึงต้องพึ่งขุนนางที่ปกครองท้องถิ่น ดังนั้น ขุนนางท้องถิ่นจึงมีอำนาจขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้จักรพรรดิโรมันจำเป็นต้องกระจายอำนาจให้แว่นแคว้นต่าง ๆ ปกครองดินแดนตนเอง มีกองทัพและกฏหมายตัดสินคดีความ

        ต่อมาเกิดการช่วงชิงอำนาจระหว่างผู้ปกครอง จักรพรรดิต้องอาศัยกองกำลังและการสนับสนุนจากขุนนางให้มีอำนาจมั่นคง จักรพรรดิจึงพระราชทานที่ดินให้แก่ขุนนางหรือลอร์ด เพื่อให้ขุนนางจงรักภักดี และเป็นการตอบแทนความดีความชอบจากการทำสงคราม เป็นผลให้ขุนนางมีอำนาจครอบครองและปกครองเขตแดนต่าง ๆ

       ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 9 ได้เกิดระบบศักดินาสวามิภักดิ์ (Feudalism) ซึ่งระบบนี้ครอบคลุมทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของยุโรปในสมัยกลางในเวลาต่อมา คำว่า “feudalism” มาจากคำว่า “fiefs” หมายถึง ที่ดินซึ่งเป็นพันธสัญญาระหว่างเจ้านาย ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินกับผู้ใช้ประโยชน์จากที่ดินที่เรียกว่า “ข้าที่ดิน” พวกเจ้าของที่ดิน ได้แก่ กษัตริย์และบรรดาขุนนาง คนกลุ่มนี้มีสถานะเป็น “ลอร์ด” (Lord/Landlord)  ส่วนบรรดาข้าที่ดินที่คอยรับใช้ จะมีสถานะเป็นวัสซัล “Vassal” ซึ่งที่ดินแต่ละแห่งที่ลอร์ดเป็นเจ้าของปกครอง จะถูกเรียกว่า “แมเนอร์” (Manor) โดยแต่ละแมเนอร์จะขึ้นกับขุนนางระดับสูง หรือกษัตริย์อีกทอดหนึ่ง ตามจำนวนที่ดินและตำแหน่งที่ได้รับ

         ในแต่ละแมนเนอร์จะมีคฤหาสน์หรือปราสาทซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของขุนนางและครอบครัว ปราสาทของขุนนางมีกำแพงล้อมรอบ เป็นศูนย์กลางของแมนเนอร์ ส่วนบริเวณรอบ ๆ เป็นท้องไร่ท้องนาและที่อยู่อาศัยของประชาชนที่ทำงานในที่ดินนั้น ซึ่งอยู่รวมกันเป็นหมู่บ้าน ในหมู่บ้านจะมีวัดสำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนา โรงสี ร้านค้า โรงตีเหล็กและช่างผลิตสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ แต่ละแมนเนอร์จึงเป็นหน่วยเศรษฐกิจแบบพึ่งพาตนเอง โดยไม่ต้องอาศัยสินค้าจากภายนอก ยกเว้นเกลือ เหล็ก และน้ำมันดิบ

         ประชาชนที่อาศัยและทำงานในที่ดินนั้น เรียกว่า เซิร์ฟ (Serf) ซึ่งจะจ่ายผลผลิตให้กับเจ้าของที่ดินและอุทิศแรงงานทำการเพาะปลูกในที่ดินของเจ้าของที่ดินเป็นการตอบแทน แลกกับความคุ้มครองจากเจ้าของที่ดิน เรียกระบบเศรษฐกิจแบบนี้ว่า ระบบเศรษฐกิจแบบแมนเนอร์ (Manor System)

        ความสัมพันธ์ระหว่างลอร์ดกับวัสซัล มีพิธีกรรมที่เรียกว่า การแสดงความจงรักภักดีหรือสวามิภักดิ์ (Act of Homage) ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ระหว่างผู้อุปถัมภ์กับผู้ที่ได้รับการอุปถัมภ์ โดยลอร์ดมีอำนาจทั้งด้านการปกครอง และด้านตุลาการให้ความคุ้มครองเมื่อเกิดภัยสงคราม ส่วนวัสซัลต้องสาบานว่าจะจงรักภักดี รวมทั้งส่งเงินและกำลังทหารของตนเข้าสมทบในกองทัพของลอร์ดด้วย ระบบฟิวดัลดังกล่าวนี้เป็นรูปแบบการปกครอง เศรษฐกิจของสังคม ในอาณาจักรของชนเผ่าเยอรมันต่าง ๆ สืบต่อมา

ความสำคัญของระบบฟิลดัล

          ความสำคัญของระบบฟิลดัล คือ ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายกับข้าที่ดินตามลำดับจากบนลงล่าง กษัตริย์จึงเป็นเจ้านายชั้นสูงสุดของระบบ ที่ดินทั่วราชอาณาจักรเป็นของกษัตริย์ แต่กษัตริย์ได้พระราชทานที่ดินเหล่านั้นแก่ขุนนางระดับสูง ขณะเดียวกันขุนนางระดับสูงเหล่านั้น ก็จะแบ่งที่ดินของตนให้ขุนนางระดับล่างดูแลอีกทอดหนึ่ง ขุนนางระดับสูงจึงเป็นวัสซัลของกษัตริย์ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นลอร์ดของขุนนางระดับล่าง ระบบนี้จัดแบ่งที่ดินออกเป็นทอด ๆ จนถึงระดับล่างสุด คือ ข้าติดที่ดิน ซึ่งเป็นผลให้เกิดความจงรักภักดีระหว่างเจ้านายและข้าที่ดินโดยตรงต่อกัน กษัตริย์แม้เป็นเจ้านายในระดับบนสุดของระบบ แต่พระองค์ไม่มีกองทัพของตน พระองค์ต้องพึ่งพากองทัพของขุนนาง อีกทั้งพระองค์ยังควบคุมขุนนางไม่ได้ด้วย แต่ขณะเดียวกัน ขุนนางก็มีพันธะที่จะต้องส่งกองทัพเข้าช่วยเหลือในยามสงคราม และส่งภาษีตามกำหนด ขณะที่ฝ่ายกษัตริย์ก็จะต้องให้ความคุ้มครองแก่ขุนนาง เป็นต้น

ช่วงเวลาที่ระบบฟิลดัลรุ่งเรืองถึงขีดสุด

          ในระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 9 – 10 บรรดาชาวไวกิ้ง ซึ่งเป็นอนารยชนจากแถบสแกนดิเนเวีย ได้เข้ารุกรานยุโรป บรรดากษัตริย์ของอาณาจักรต่าง ๆ ไม่มีกำลังเข้มแข็งพอในการป้องกันดินแดนของตน ดังนั้น การปกป้องดินจึงตกเป็นหน้าที่ของเหล่าขุนนางท้องถิ่น หรือเจ้าของที่ดิน ซึ่งได้รวบรวมชาวบ้าน หรือพวกชายฉกรรจ์ในปกครองของตน เข้ามาฝึกอาวุธ และจัดตั้งกองทัพของขุนนางสำหรับป้องกันดินแดน ทำให้ขุนนางท้องถิ่นสามารถสร้างและสะสมอิทธิพลของตนได้มากขึ้น ด้านขุนนางเริ่มมีอำนาจต่อรองกับกษัตริย์มากขึ้นนับจากเหตุการณ์นี้ ในช่วงเวลานี้ระบบฟิวดัลได้มีการพัฒนาจนกลายเป็นระบบการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่สำคัญของยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่ 11 – 13

         ระบบฟิวดัลเริ่มล่มสลายในราวปลายคริสต์ศตวรรษที่ 14 เมื่อเศรษฐกิจในยุโรปเจริญเติบโตขึ้นและจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเมืองที่เป็นศูนย์กลางทางการค้าและเมืองอุตสาหกรรมหลายแห่ง โดยเฉพาะเมืองท่าต่าง ๆ ทำให้ผู้คนที่อยู่ในแมนเนอร์อพยพเข้าไปอยู่ในเขตเมืองเพื่อทำงานและได้สิทธิการเป็นพลเมือง เกิดการขาดแคลนแรงงานภาคเกษตรกรรม ผนวกกับบรรดาขุนนางที่เคยมีอำนาจ รวมถึงกำลังพลต้องออกไปทำสงครามครูเสด (Crusade War) และได้สูญเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก และเริ่มยากจนลง ความเจริญทางเศรษฐกิจทำให้พวกพ่อค้าซึ่งเป็นชนชั้นกลางมีความมั่งคั่งขึ้นและมีอำนาจแทนที่ขุนนาง นอกจากนี้พวกวัสซัลยังใช้เงินตอบแทนลอร์ดแทนการเป็นทหารในกองทัพและซื้อที่ดินของลอร์ดมาเป็นกรรมสิทธิ์ รวมทั้งการจ่ายเงินให้กษัตริย์นำไปสร้างกองทัพของตนเอง แลกกับความคุ้มครอง (ประเด็นนี้ส่งผลให้กษัตริย์มีอำนาจมากขึ้น และนำไปสู่การสร้างรัฐชาติในเวลาต่อมา) เป็นผลให้ระบบฟิวดัลเสื่อมอำนาจลงในที่สุด ก่อนจะสลายตัวลงในคริสต์ศตวรรษที่ 16 เมื่อยุโรปเข้าสู่สมัยการฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ

อิทธิพลของระบบฟิวดัลที่สำคัญ

        ด้านการปกครอง
        ระบบฟิวดัลเป็นรากฐานการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ซึ่งเป็นรูปแบบของการปกครองท้องถิ่นของดินแดนต่าง ๆ ในยุโรป นอกจากนี้เมื่อระบบฟิวดัลล่มสลาย กษัตริย์สามารถสถาปนาอำนาจทางการเมืองได้อย่างมั่นคง โดยฝ่ายกษัตริย์ได้อาศัยเงินทุนจากชนชั้นกลางในการสร้างกองทัพสมัยใหม่ แลกกับการให้ความคุ้มครอง ส่งผลให้กษัตริย์มีอำนาจและอิทธิพลมากขึ้น ทำให้เกิดการสร้างรัฐชาติและพัฒนาเป็นประเทศในเวลาต่อมา
        ด้านสถาปัตยกรรม
        สถาปัตยกรรมในสมัยฟิวดัลสะท้อนอยู่ในปราสาทหรือคฤหาสน์ของลอร์ด ที่เป็นศูนย์กลางในแมนเนอร์ ซึ่งในระยะแรกรับอิทธิพลจากสิ่งก่อสร้างของโรมัน หรือศิลปะแบบโรมาเนสก์ (Romanesque Architecture) ที่ให้ความรู้สึกมั่นคง แข็งแกร่ง สำหรับเป็นที่อยู่อาศัยและป้องกันศัตรูที่มารุกรานได้


ภาพที่ 2  ตัวอย่างอารามที่ก่อสร้างตามแบบสถาปัตยกรรมโรมาเนสก์
ที่มา: https://en.wikipedia.org/wiki/Romanesque_architecture#/media/File:LessayAbbaye3.JPG

        ต่อมาในราวคริสต์ศตวรรษที่ 11 ลักษณะของสถาปัตยกรรมเป็นศิลปะแบบโกธิค (Gothic Architecture) ที่มีความอ่อนช้อยงดงาม ได้รับความนิยมมากขึ้น ส่วนสถาปัตยกรรมทางศาสนานิยมสร้างโบสถ์ขนาดใหญ่ที่สง่างาม เช่น มหาวิหารโนเทรอดาม (Cathédrale Notre-Dame) ในฝรั่งเศส มหาวิหารเซวิญา (Catedral de Sevilla) ในสเปน


ภาพที่ 3  มหาวิหารแห่งเมืองโคโลญจ์ เยอรมนี สร้างตามแบบสถาปัตยกรรมโกธิค
ที่มา: https://en.wikipedia.org/wiki/Cologne_Cathedral#/media/File:K%C3%B6lner_Dom_von_Osten.jpg
         ด้านเศรษฐกิจและสังคม
         ในช่วงปลายระบบฟิวดัล อำนาจของขุนนางเสื่อมลง เศรษฐกิจมีการขยายตัวสูงขึ้นมาก ทำให้เกิดชนชั้นกลางซึ่งเป็นกลุ่มพ่อค้าและพวกช่าง เรียกว่า "ชนชั้นกระฏุมพี" (Bourgeois) หมายถึง ชนชั้นที่เป็นอิสระ ที่ไม่อยู่ในระบบแมนเนอร์แล้ว ได้รวมตัวกันจัดตั้ง "สมาคมช่างฝีมือ" หรือ "สมาคมอาชีพ" (Guild) เพื่อพัฒนาแรงงานและคุณภาพสินค้า ซึ่งมีบทบาทสำคัญในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ นอกจากนี้ที่ดินของขุนนางได้เปลี่ยนมาเป็นที่ดินของนายทุน ส่งผลให้การเกษตรกรรมเปลี่ยนแปลงการผลิตใหม่มาเป็นการส่งออกตลาดแทน สำหรับมรดกทางวัฒนธรรมของระบบฟิวดัลที่มีต่อยุโรปคือตำแหน่งขุนนาง เช่น ดุ๊ก (Duke), เคานส์ (Count), บารอน (Baron), เอิร์ล (Earl)
ภาพที่ 4  โครงสร้างทางสังคมของระบบฟิวดัล
ที่มา: https://blog.eduzones.com/images/blog/manaw03/20140823-1408782538.0779-2.jpg



ภาพที่ 5  การจัดสรรที่ดินของระบบแมนเนอร์
ที่มา: https://www.tes.com/lessons/BkqTLeYzA_es9A/how-a-manor-was-self-sufficient