พฤติกรรมของสัตว์
กลไกการเกิดพฤติกรรมของสัตว์
การเกิดพฤติกรรมของสัตว์ คือ การตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมภายในและภายนอกร่างกายของสิ่งมีชีวิตการศึกษาพฤติกรรม มี 2 วิธี คือ
1. วิธีการทางสรีรวิทยา (Physiological approach) คือ การอธิบายว่าพฤติกรรมเกิดจากกลไกการทำงานของระบบต่างๆ ที่ถูกควบคุมโดยระบบประสาท
2. วิธีการทางจิตวิทยา (Psycological approach) คือ การศึกษาการพัฒนาและการแสดงออกของพฤติกรรมที่เกิดจากปัจจัยภายในและภายนอกร่างกาย
ประเภทพฤติกรรมของสัตว์
พฤติกรรมของสัตว์เกิดจากการทำงานร่วมกันระหว่างพันธุกรรมและสภาพแวดล้อม- หน่วยพันธุกรรม มีหน้าที่ควบคุมการเจริญเติบโตของส่วนประกอบต่างๆของสัตว์ที่ทำให้เกิดพฤติกรรม เช่น ระบบประสาท ฮอร์โมน และ กล้ามเนื้อ อิทธิพลของหน่วยพันธุกรรมต่อพฤติกรรมจะเห็นได้ชัดในสัตว์ชั้นต่ำ
- สภาพแวดล้อม (หรือประสบการณ์ที่ได้รับในภายหลัง) มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของสัตว์
ประเภทของพฤติกรรม แบ่งได้เป็น
1. พฤติกรรมเป็นมาแต่กำเนิด เป็นพฤติกรรมเฉพาะตัวง่ายๆ มีแบบแผนที่แน่นอน ใช้ในการตอบสนองต่อสิ่งเร้า ความสามารถในการแสดงพฤติกรรมนี้ได้มาจากพันธุกรรม ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้มาก่อน สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันจะแสดงพฤติกรรมเหมือนกันหมด
ตัวอย่างของพฤติกรรมที่เป็นมาแต่กำเนิด คือ
- โอเรียนเตชัน (Orientation) คือ คือการที่สิ่งมีชีวิตตอบสนองต่อสิ่งเร้าทางกายภาพ ก่อให้เกิดพฤติกรรมที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิต มักพบได้ในโพรโทซัวและสัตว์บางชนิด ตัวอย่างของ โอเรียนเตชัน คือ
- ไคนีซีส คือ พฤติกรรมการตอบสนองต่อสิ่งเร้าด้วยการเคลื่อนที่ แต่ว่าการเคลื่อนที่นี้ไม่มีความสัมพันธ์กับทิศทางของสิ่งเร้าเลย พฤติกรรมนี้พบได้ในโปรโตซัวหรือสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่ระบบประสาทยังเจริญไม่ดีพอที่จะตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่อยู่ไกลๆได้ เช่น
การเคลื่อนที่ของแมลงสาบในที่โล่ง การเคลื่อนที่ของพารามีเซียมเพื่อตอบสนองต่ออุณหภูมิ - แทกซีส คือ พฤติกรรมการตอบสนองต่อสิ่งเร้าด้วยการเคลื่อนที่ที่มีความสัมพันธ์กับทิศทางของสิ่งเร้า มักพบในสิ่งมีชีวิตที่มีหน่วยรับความรู้สึกเจริญดี เช่น จิ้งหรีดเพศเมียจะเคลื่อนที่เข้าหาจิ้งหรีดเพศผู้เมื่อได้ยินเสียงจากเพศผู้เท่านั้น พลานาเรียนว่ายน้ำเข้าหาแสง
- รีเฟล็กซ์ (Reflex) คือ พฤติกรรมที่แสดงออกจากการที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายตอบสนองต่อสิ่งเร้าอย่างรวดเร็ว เช่น การกระพริบตาเมื่อมีลูกบอลเข้ามาใกล้ การจาม การไอ
- รีเฟล็กซ์ต่อเนื่อง คือ การรวมตัวของรีเฟล็กย่อยๆ จนกลายเป็นการทำงานต่อเนื่องกันโดยไม่ต้องคิด เช่น การดูดน้ำนมของเด็กอ่อน การสร้างรังนก การเคี้ยวอาหารแล้วตามด้วยกลืน การวิ่งไล่สัตว์ที่มีขนาดเล็กกว่า การชักใย ลอกคราบ จำศีล การบิน การเกา
รีเฟล็กซ์และรีเฟล็กซ์ต่อเนื่องเป็นพฤติกรรมเป็นมาแต่กำเนิด สิ่งมีชีวิตสามารถแสดงพฤติกรรมนี้ได้โดยไม่จำเป็นต้องเรียนรู้มาก่อน แต่บางครั้งก็ต้องรอความพร้อมของร่างกาย เช่น การเริ่มบินของนก
2. พฤติกรรมการเรียนรู้ คือพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ การแสดงออกของพฤติกรรมมีพันธุกรรมเป็นตัวกำหนด แต่การพัฒนาพฤติกรรมเกิดได้จากวุฒิภาวะและประสบการณ์ที่ได้รับขณะเจริญเติบโต พฤติกรรมการเรียนรู้มีดังนี้
- แฮบบิชูเอชัน (Habituation) คือพฤติกรรมที่สัตว์ลดการตอบสนองต่อสิ่งเร้า เพราะสัตว์ได้เรียนรู้แล้วว่าสิ่งเร้านั้นไม่มีผลต่อการดำรงชีวิต เช่น การทำผิดกฏโรงเรียนง่ายขึ้นบ่อยขึ้นเพราะไม่โดนทำโทษ
- การฝังใจ เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นมาก เช่น ลูกห่านจะติดตามวัตถุที่เคลื่อนที่และมีเสียงที่เห็นในครั้งแรกหลังจากฟักออกจากไข่
- การลองผิดลองถูก เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการทดลองซ้ำ ๆ สัตว์จะเลือกแสดงพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดผลดี โดยใช้ความรู้จากประสบการณ์ว่าการกระทำแบบใดทำให้เกิดผลและแบบใดทำให้เกิดผลเสีย
- การมีเงื่อนไข (Conditioning) คือการที่สัตว์แสดงพฤติกรรมการตอบการสนองต่อสิ่งเร้าที่มีเงื่อนไขแม้ว่าจะไม่มีสิ่งเร้าที่ไม่มีเงื่อนไขอยู่ ตัวอย่างเช่น ในการทดลองของอีวาน เปโตรวิช พัฟลอฟ สุนัขจะน้ำลายไหลเมื่อเห็นอาหาร ในที่นี้อาหารคือสิ่งเร้าที่ไม่มีเงื่อนไข (Unconditioned stimulus) แต่เมื่อสุนัขถูกฝึกให้เห็นอาหารพร้อมกับได้ยินเสียงกระดิ่งเป็นเวลานาน (เสียงกระดิ่งคือสิ่งเร้าที่มีเงื่อนไข; Conditioned stimulus) สุนัขก็ถูกกระตุ้นให้น้ำลายไหลได้เพียงแค่จากการได้ยินเสียงกระดิ่งโดยที่ไม่ต้องเห็นอาหาร
- การใช้เหตุผล เป็นพฤติกรรมขั้นสูงสุดของการเรียนรู้ สัตว์จะนำเอาประสบการณ์ที่ได้รับในเวลาต่างกันมารวมเป็นประสบการณ์ใหม่ หรือประยุกต์รวมกัน
เพื่อนำไปแก้ไขปัญหาอยู่ พฤติกรรมนี้พบเฉพาะในสัตว์ที่มีสมองส่วนเซรีบรัมพัฒนาดี
ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมกับพัฒนาการของระบบประสาท
สิ่งมีชีวิตต่างชนิดกันมีการพัฒนาการของระบบประสาทที่ต่างกัน จึงทำให้สิ่งมีชีวิตต่างชนิดตอบสนองต่อสิ่งเร้าด้วยพฤติกรรมที่ต่างกันไป สิ่งมีชีวิตที่มีระบบประสาทพัฒนามากก็จะมีพฤติกรรมที่ซับซ้อนละเอียดอ่อน และมีเหตุผลมากกว่าสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ เช่น สมองของสัตว์มีกระดูกสันหลังชั้นต่ำเทียบกับมนุษย์ สมองส่วนหน้าของสัตว์มีกระดูกสันหลังเจริญได้ไม่ดี เริ่มมีการเรียนรู้ แต่ต่างจากมนุษย์ที่มีการเรียนรู้ และการใช้เหตุผลที่มีความซับซ้อนและยุ่งยากมากที่สุด
การสื่อสารระหว่างสัตว์
การสื่อสารเป็นพฤติกรรมทางสังคมของสัตว์ เพราะการสื่อสารสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของสัตว์ที่ได้รับสัญญาณได้ รูปแบบของการสื่อสาร มีดังนี้1. การสื่อสารด้วยเสียง (Sound communication) มีหลายลักษณะ เช่น การใช้เสียงเพื่อติดต่อกัน เพื่อเตือนภัย หรือเพื่อเป็นสิ่งเร้าให้เกิดพฤติกรรมการสืบพันธุ์
2. การสื่อสารด้วยท่าทาง (Visual communication) อาจเป็นพฤติกรรมแต่กำเนิดหรือเกิดจากการเรียนรู้ก็ได้
3. การสื่อสารด้วยสารเคมี (Chemical communication) เกิดได้ในสัตว์บางชนิดที่สามารถปล่อยสารที่มีอิทธิพลต่อสรีระและพฤติกรรมของสัตว์ชนิดเดียวกัน โดยสารนี้เรียกว่า ฟีโรโมน ซึ่งสัตว์สามารถรับฟีโรโมนได้ 3 ทางด้วยกัน คือ
- การดมกลิ่น ส่วนมากใช้เพื่อดึงดูดเพศตรงข้าม เพื่อบอกตำแหน่ง เพื่อเตือนภัย
- การกิน เช่น ผึ้งงานเพศเมียจะเป็นหมันหลังจากกินสารเคมีที่ผลิตโดยผึ้งราชินี
- การสัมผัส พบในสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เช่น การผสมพันธุ์ในแมลงสาบ โดยที่แมลงสาบเพศผู้จะเกิดความต้องการทางเพศหลังจากได้สัมผัสกับฟีโรโมนที่เพศเมียทิ้งไว้
4. การสื่อสารด้วยการสัมผัส (Tactile communication)
การสื่อสารด้วยการสัมผัสมีบทบาทสำคัญในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม โดยส่วนมาก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมใช้การสัมผัส เพื่อเป็นการแสดงความรัก การให้ความอบอุ่น การแสดงความเป็นหัวหน้าหรือลูกน้องในการปกครอง
ตัวอย่างเช่น สุนัขจะเข้าไปเลียปากให้กับตัวที่เหนือกว่า ลูกลิงจะกอดแม่ลิงเพื่อความอบอุ่น การสื่อสารด้วยการสัมผัสในสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับการรับรู้สารเคมีของอวัยวะที่ใช้ในการสัมผัสแบบพิเศษ เช่น แมลงสาบใช้หนวดตรวจสภาพแวดล้อมรอบตัว