ในการดำเนินชีวิตของสิ่งมีชีวิตจะมีกระบวนการเผาผลาญสารอาหารและได้ของเสียออกมาในรูปของของเสียไนโตรเจน การกำจัดของเสียเหล่านี้เรียกว่า การขับถ่าย (Excretion) เป็นกระบวนการที่สำคัญเพื่อรักษาดุลยภาพของร่างกาย โดยเป็นกระบวนการที่กำจัดสารที่ร่างกายไม่ต้องการ รวมถึงลดความเป็นพิษของสารต่าง ๆ ก่อนขับถ่ายของเสีย (Waste) เหล่านั้นออกจากร่างกาย
ของเสียที่สำคัญ ได้แก่ CO2 และ ของเสียในรูปไนโตรเจน การขับถ่ายของเสียเหล่านี้จะแตกต่างกันไปตามชนิดของสัตว์
ไตในมนุษย์มี 1 คู่ รูปร่างคล้ายเมล็ดถั่ว อยู่ในช่องท้อง วางตัวข้างกระดูกสันหลังบริเวณเอว ของเสียที่กรองแล้วจะออกจากไตผ่านท่อไต (Ureter) มายังกระเพาะปัสสาวะ (Urinary bladder) ก่อนจะขับถ่ายออกจากร่างกายผ่านท่อปัสสาวะ (Urethra)
เริ่มจากหลอดเลือดแดงที่พาดเข้ามาในหน่วยไตจะแตกแขนงออกเป็นกลุ่มหลอดเลือดฝอย (Glomerulus) ที่ถูกหุ้มด้วยเนื้อเยื่อทรงกลม (Bowman’s capsule) เป็นจุดที่เกิดการกรองสารจากหลอดเลือดเข้าสู่หน่วยไต โดยอาศัยแรงดันจากหลอดเลือดขาเข้าที่ใหญ่กว่าหลอดเลือดขาออกทำให้เลือดที่ไหลออกจากกลุ่มเส้นเลือดฝอยไหลออกได้ช้าลงเกิดเป็นแรงดันที่จะผลักสารบางชนิดเข้าสู่ Bowman’s capsule ถัดเข้าไปจากนี้จะเป็น
ท่อขด 3 ส่วน คือ
ก่อนจะนำของเสียและนำที่กรองแล้วทั้งหมดเข้าสู่ ท่อรวม (Collecting duct) ออกสู่กรวยไตต่อไป
ทิศทางการไหลเวียนเลือดและการกำจัดของเสียจากหน่วยไตออกสู่ร่างกาย
กลไกที่ควบคุมการดูดกลับของน้ำและสารต่าง ๆ นี้ถูกควบคุมโดย Antidiuretic hormone: ADH โดย ADH จะกระตุ้นให้ท่อขดส่วนปลายดูดน้ำกลับเข้ากระแสเลือด และ ฮอร์โมน Aldosterone จากต่อมหมวกไตจะเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมการดูดกลับของ Na, K, และ P เข้าสู่กระแสเลือด นอกจากนั้นไตยังช่วยควบคุมค่าความเป็นกรดเบสของร่างกายโดยขับ H+ ออกและดูด HCO3- กลับเข้าสู่หลอดเลือดที่ท่อขดส่วนปลาย
ในสภาพอากาศร้อน หรือมีการใช้งานร่างกายหนัก เช่น เล่นกีฬาหรือใช้แรงงานร่างกายจะเสียของเหลวไป 3 - 5% ของของเหลวในร่างกาย เรียกว่า ภาวะการเสียน้ำ (Dehydration)
ถ้าในปัสสาวะของผู้ป่วยโรคเบาหวาน มักจะพบน้ำตาลปะปนออกมาด้วยเนื่องจากหน่วยไตไม่สามารถดูดน้ำตาลกลับได้หมด หรือ ถ้าร่างกายติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิดทำให้โกลเมอรูลัสเสียความสามารถในการกรองโปรตีนและเม็ดเลือด ก็จะทำให้พบโปรตีนและเม็ดเลือดปนออกมากับปัสสาวะ
ในเด็กทารกการขับปัสสาวะจะถูกควบคุมด้วยประสาทอัตโนมัติทำให้ไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้ เมื่อโตขึ้นสมองส่วนต่าง ๆ พัฒนามากขึ้นทำให้ควบคุมการขับปัสสาวะได้ โดยเมื่อมีปัสสาวะประมาณ 200 ml
ปลายประสาทซิมพาเทติกจะส่งกระแสประสาทไปยังไขสันหลังขึ้นไปยังก้านสมองและสมองส่วนซีรีบรัลคอร์เท๊กซ์
ถ้าสภาพแวดล้อมเหมาะให้ขับปัสสาวะได้จะมีคำสั่งจากก้านสมองให้กล้ามเนื้อรอบกระเพาะปัสสาวะบีบตัว กล้ามเนื้อหูรูดที่กระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะคลายตัวให้ปัสสาวะไหลออกได้
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis) พบได้บ่อยในเพศหญิงเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียจากอุจจาระ รวมถึงการกลั้นปัสสาวะนาน ๆ ทำให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบ เกิดอาการปวดบริเวณหัวหน่าวเวลาขับปัสสาวะ และอาจลุกลามเป็นโรคกรวยไตอักเสบ (Pyelonephritis) และไตอักเสบ (Nephritis) ได้ถ้าเชื้อแบคทีเรียเคลื่อนที่ไปถึงส่วนไต
เกิดได้หลายจุดในระบบปัสสาวะ ทั้งนิ่วในไต ท่อไต กระเพาะปัสสาวะ เกิดจากการตกตะกอนของแร่ธาตุต่าง ๆ ที่ไม่ละลายน้ำ โดยสอดคล้องกับการกินอาหารบางชนิด เช่น ผักใบเขียวบางชนิดที่มีสารออกซาเลตมาก เช่น ผักโขม หรือชะพลู ถ้ากินมากและติดต่อเป็นเวลานานจะทำให้เป็นนิ่วได้ง่าย
การรักษา สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การผ่าตัด การสลายก้อนนิ่วด้วยคลื่นอัลตราซาว และการป้องกันการเกิดนิ่วคือ กินอาหารที่มีฟอสฟอรัสเพื่อไปป้องกันการจับตัวกันของออกซาเลต เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ ถั่ว นม เป็นต้น และดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ เพื่อขับเอาก้อนนิ่วขนาดเล็กออกมาก่อนที่จะตกตะกอนเป็นก้อนใหญ่
คือภาวะที่ไตไม่สามารถทำงานได้ จึงเกิดการสะสมของเสียและเกิดความผิดปกติกับสมดุลน้ำ แร่ธาตุ ความเป็นกรด-เบสของร่างกาย โดยอาจมีสาเหตุจากการติดเชื้อรุนแรง การเสียเลือดหรือของเหลวจำนวนมาก การเป็นโรคเบาหวานเป็นเวลานาน หรือมีนิ่วอุดตัน
การรักษา ทำได้โดยควบคุมชนิดและปริมาณอาหาร ป้องกันการติดเชื้อ ใช้ยาหรือฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม หรือผ่าตัดเปลี่ยนไตจากบุคคลที่มีพันธุกรรมชนิดใกล้กันเพื่อเลี่ยงการปฏิเสธการรับอวัยวะ หรือใช้ยากดภูมิคุ้มกันพร้อมกับฉายรังสีเพื่อให้ภูมิคุ้มกันทำงานลดลงไตที่ผ่าตัดใส่เข้ามาสามารถทำงานได้ตามปกติ