อวัยวะรับความรู้สึก

ยอดวิว 0

แบบฝึกหัด

EASY

อวัยวะรับความรู้สึก (ชุดที่ 1)

HARD

อวัยวะรับความรู้สึก (ชุดที่ 2)

เนื้อหา

อวัยวะรับความรู้สึก

นัยน์ตากับการมองเห็น

โครงสร้างของนัยน์ตา (เรียงจากด้านนอกไปด้านใน ) ประกอบด้วย

1. สเคลอรา (Sclera) เหนียวแต่ไม่ยืดหยุ่น
มีส่วนประกอบที่สำคัญอยู่ที่ตอนหน้าสุดของเยื่อนี้ เรียกว่า กระจกตา (Cornea) ซึ่งเป็นส่วนที่มีความสำคัญมากต่อการมองเห็น สามารถเปลี่ยนถ่ายได้

2. โครอยด์ (Choroid) เป็นชั้นที่มีหลอดเลือดหล่อเลี้ยงจำนวนมาก มีสารสีแผ่กระจายอยู่เพื่อปกป้องเรตินาจากแสงสว่าง เป็นที่อยู่ของ

  • ม่านตา (Iris) อยู่ด้านหน้าของเลนส์ตา คล้ายกับเป็นผนังกั้นของเลนส์ ทำหน้าที่ควบคุมปริมาณแสงที่ผ่านเข้าสู่ในตา
  • รูม่านตา (Pupil) เป็นช่องอยู่ตรงกลางให้แสงผ่าน ขนาดของรูม่านตาขึ้นอยู่กับม่านตา

3. เรตินา (Retina) ประกอบด้วย:

(1) เซลล์รับแสง ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 ชนิดตามรูปร่าง คือ

  • เซลล์รูปแท่ง (Rod cell) ไม่สามารถแยกความแตกต่างของสีได้ มีความไวต่อการรับแสงสูง มีประมาณ 125 ล้านเซลล์ในตาข้างหนึ่ง
  • เซลล์รูปกรวย (Cone cell) แยกความแตกต่างของสีได้แต่ต้องใช้แสงสว่างมากถึงจะบอกสีได้ถูกต้อง มีประมาณ  6 ล้านเซลล์ในตาข้างหนึ่ง

(2) เซลล์ประสาทอื่นๆ ทำหน้าที่รับกระแสประสาทส่งที่เกิดจากการกระตุ้นของเซลล์รับแสงไปยังเส้นใยประสาทของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 2  แล้วส่งต่อไปที่สมองส่วนเซรีบรัมเพื่อแปลภาพตามที่ตามองเห็น

(3) โฟเวีย (Fovea) มีเซลล์รูปกรวยอยู่อย่างหนาแน่นกว่าที่อื่น และไม่มี Rod cell ภาพที่เห็นจะชัดเจนเมื่อแสงตกบริเวณนี้

(4) จุดบอด (Blind spot)  เป็นบริเวณของเรตินาที่ไม่มีเซลล์รับแสงอยู่เลย มีแต่แอกซอนจากนัยน์ตาสู่เส้นประสาทตา เมื่อแสงตกบริเวณนี้จะไม่มีภาพเกิดขึ้น

(5) เลนส์ตา (Lens) อยู่ถัดจากกระจกตา กั้นนัยน์ตาเป็น 2 ส่วน คือช่องหน้าเลนส์และช่องหลังเลนส์ ภายในช่องทั้งสองมีน้ำเลี้ยงลูกตาที่มีหน้าที่ดูแลความดันตา น้ำเลี้ยงลูกตาในช่องหน้าเลนส์ทำหน้าที่ให้สารอาหารและแก๊สออกซิเจนแก่กระจกตา น้ำเลี้ยงลูกตาในช่องหลังเลนส์ช่วยให้ลูกตาคงรูป

การเกิดภาพ แสงจากวัตถุเข้าสู่กระจกตาโดยมีเลนส์ตาทำหน้าที่รวมแสง การหักเหของแสงขึ้นอยู่กับความโค้งของกระจกตาและเลนส์ตา
เอ็นยึดเลนส์ (Suspensory ligament)
ทำหน้าที่ยึดเลนส์ตา อยู่ติดกับกล้ามเนื้อยึดเลนส์ (Ciliary muscle)  ในการมองภาพในระยะใกล้ กล้ามเนื้อยึดเลนส์จะหดตัว ตัวเอ็นยึดเลนส์หย่อนลง
ผิวของเลนส์โค้งนูนมากขึ้น จุดโฟกัสใกล้เลนมากขึ้น ส่วนการมองภาพในระยะไกล กล้ามเนื้อยึดเลนส์คลายตัว เลนส์ตาจะโค้งแบนลง การเพ่งมองวัตถุใกล้จึงทำให้เกิดการล้าของกล้ามเนื้อ
การแก้ไขสายตา สายตาสั้นเกิดจากภาพวัตถุตกก่อนเรตินา สามารถใช้เลนส์เว้าช่วยให้ภายตกพอดีเรตินา สายตายาวเกิดจากภาพวัตถุตกหลังเรตินา สามารถใช้เลนส์นูน ส่วนสายตาเอียงใช้เลนส์ทรงกระบอก

กลไกการมองเห็น

เซลล์รูปแท่ง มีสารโรดอพซิน (Rhodopsin)
ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของโปรตีนออพซิน (Opsin) และสารเรตินอล (Retinol) ที่ร่างกายสังเคราะห์ขึ้นได้จากวิตามิน A และมีความไวต่อแสงสูง

  การเปลี่ยนแปลงของโรดอพซินเมื่อได้รับแสงเป็นดังนี้

แสงกระตุ้นเซลล์รูปแท่ง → เรตินอลแยกออกจาก ออพซิน →  ส่งกระแสประสาทไปยังเส้นประสาทสมองคู่ที่ 2 ให้แปลเป็นภาพ เมื่อแสงหมด เรตินอลจะกลับออพซินเป็นโรดอพซินใหม่

เซลล์รูปกรวย แบ่งเป็น 3 ชนิด คือ

  • เซลล์รูปกรวยที่ไวต่อแสงสีน้ำเงิน
  • เซลล์ที่ไวต่อแสงสีแดง 
  • เซลล์ที่ไวต่อแสงสีเขียว
สมองสามารถแยกสีได้มากกว่า 3 สี เพราะมีการกระตุ้นเซลล์รูปกรวยแต่ละชนิดทำพร้อมกันแต่ด้วยความเข้มของแสงสีต่างกัน ทำให้เกิดการผสมของแสงสี
ตาบอดสี เกิดจากความบกพร่องของเซลล์รูปกรวยที่ไวต่อแสงสีนั้น สามารถถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรม
การกรอกตา ถูกควบคุมด้วยกล้ามเนื้อรอบดวงตา กล้ามเนื้อเหล่านี้จะโดนควบคุมโดยเส้นประสาทสมองคู่ที่ 3 4 และ 6

หูกับการได้ยิน

หูทำหน้าที่ในการได้ยินเสียงและการทรงตัว แบ่งได้เป็น 3 ส่วน คือ

1. หูส่วนนอก ประกอบด้วยใบหูและช่องหู ทำหน้าที่รับคลื่นเสียงและเป็นช่องให้คลื่นเสียงผ่าน หูส่วนนอกและหูส่วนกลางถูกกั้นด้วยเยื่อแก้วหู (Ear drum หรือ Tympanic membrane) ซึ่งจะสั่นเมื่อได้รับคลื่นเสียง

2. หูส่วนกลาง เป็นโพรงต่อกับโพรงจมูก มีส่วนประกอบคือ

  • ท่อยูสเตเชียน (Eustachian tube) ติดต่อกับคอหอย ซึ่งมีหน้าที่ปรับความดัน 2 ข้างของเยื่อแก้วหูให้เท่ากัน (เช่น กรณีหูอื้อ ปวดหูที่เกิดจากความดันอากาศภายในและภายนอกหูส่วนกลางไม่เท่ากัน)
  • กระดูกค้อน (Malleus) กระดูกทั่ง (Incus) และกระดูกโกลน (Stapes) ทำหน้าที่ขยายแอมพลิจูดของคลื่นเสียง กระดูกค้อนและทั่งจะเพิ่มแรงสั่นสะเทือนจากแก้วหูแล้วส่งต่อไปยังกระดูกโกลนเพื่อเข้าสู่หูส่วนในต่อไป

 3. หูส่วนใน ประกอบด้วยโครงสร้างที่ทำหน้าที่แตกต่างกัน 2 ชุด

  • ใช้ฟังเสียง ประกอบด้วย คอเคลีย (Cochlea) เป็นท่อลักษณะคล้ายก้นหอย ซึ่งภายในมีของเหลวที่ทำหน้าที่เปลี่ยนสัญญาณสั่นสะเทือนจากเสียงให้เป็น กระแสประสาท โดยกระตุ้นเซลล์รับเสียงให้ส่งกระแสประสาทไปยังเส้นประสาทรับเสียง (Auditory nerve) ซึ่งเป็นเส้นประสาทสมองคู่ที่ 8  เพื่อนำเข้าสู่เซรีบรัม
  • ใช้ในการทรงตัว ประกอบด้วย เซมิเซอร์คิวลาร์แคแนล (Semicircular canal) มีลักษณะเป็นหลอดครึ่งวงกลม 3 หลอดวางตั้งฉากกัน ภายในหลอดมีของเหลวบรรจุอยู่ ที่โคนหลอดมีแอมพูลลา ภายในมีเซลล์ขน (Hair cell) ที่ไวต่อการไหลของของเหลวภายในหลอดที่เปลี่ยนแปลงตามตำแหน่งของศีรษะและทิศทางการเคลื่อนไหวของร่างกาย กระแสประสาทเกี่ยวกับการทรงตัวจะถูกส่งไปเส้นประสาทสมองคู่ที่ 8 เช่นกัน

จมูกกับการดมกลิ่น

ภายในเยื่อบุจมูก (Olfactory membrane) มีเซลล์ประสาทรับกลิ่น (Olfactory neuron)ที่มีซีเลียคอยดักจับสารเคมี กลไกการรับกลิ่น สรุปได้ดังนี้
กลิ่น หรือ สารเคมี → เซลล์รับกลิ่นส่งกระแสประสาท →
เส้นประสาทรับกลิ่น (Olfactory nerve, เส้นประสาทสมองคู่ที่ 1) → อัลแฟกทอรีบัลบ์ → เซรีบรัม → แปลกลิ่น

ลิ้นกับการรับรส

พาพิลลา (Papilla) คือปุ่มเล็กๆจำนวนมากที่อยู่บนลิ้น เป็นบริเวณที่มีตุ่มรับรส (Taste bud) ซึ่งประกอบไปด้วยเซลล์รับรส (Taste cell หรือ Gustatory cell) หลายชนิด กลไกการรับรส สรุปได้ดังนี้
รส → เซลล์รับรสส่งกระแสประสาท →
เส้นประสาทสมองคู่ที่  7 และ 9 → เซรีบรัม → แปลรส
การรับรสเป็นการผสมผสานของรสพื้นฐาน 5 รส คือ หวาน ขม เปรี้ยว เค็ม และ อร่อย (อูมามิ; Umami) การรับรสทั้ง 5 รสเกิดขึ้นได้ทั่วลิ้น
เพราะถึงแม้ว่าเซลล์รับรสแต่ละเซลล์สามารถรับรสได้เพียงรสเดียว แต่ตุ่มรับรสก็มีเซลล์รับรสหลายชนิดปนกัน

ผิวหนัง

ผิวหนังเป็นอวัยวะที่รับความรู้สึกได้มากกว่าอวัยวะรับความรู้สึกอื่น เพราะผิวหนังมีหน่วยรับความรู้สึกซึ่งตอบสนองต่อการกระตุ้นแต่ละแบบ และมีจำนวนหน่วยรับความรู้สึกมาก ตัวอย่างเช่น
  • หน่วยรับรู้ความเจ็บปวด เป็นปลายประสาทเดนไดรต์ที่แทรกอยู่ในหนังกำพร้า (Epidermis)
  • หน่วยรับสัมผัส บางหน่วยอยู่อิสระในชั้นหนังแท้ (Dermis) และอาจพบได้รอบรากเส้นขน
  • หน่วยรับแรงกด ฝังลึกอยู่ในชั้นหนังแท้  
  • หน่วยรับความรู้สึกเกี่ยวกับอุณหภูมิ ประกอบด้วยปลายประสาทที่รับความรู้สึกร้อน และปลายประสาทที่รับความรู้สึกเย็น มักพบในชั้นหนังแท้