แสงเชิงฟิสิกส์: สะท้อน หักเห แทรกสอด เลี้ยวเบน (4)

ยอดวิว 0

แบบฝึกหัด

EASY

แสงเชิงฟิสิกส์: สะท้อน หักเห แทรกสอด เลี้ยวเบน (4) (ชุดที่ 1)

MEDIUM

แสงเชิงฟิสิกส์: สะท้อน หักเห แทรกสอด เลี้ยวเบน (4) (ชุดที่ 2)

HARD

แสงเชิงฟิสิกส์: สะท้อน หักเห แทรกสอด เลี้ยวเบน (4) (ชุดที่ 3)

เนื้อหา

การสะท้อน (reflection)
การหักเห (refraction) และ
มุมวิกฤต (critical angle)

แสงนั้นเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดหนึ่ง ซึ่งมีความยาวคลื่นประมาณ 400 - 700 nm สามารถเคลื่อนที่ได้โดยที่ไม่ต้องอาศัยตัวกลาง 
 สมมุติว่าในสุญญากาศแสงมีความยาวคลื่น ,
ความถี่ (f) อัตราเร็วของแสงสามารถคำนวณได้เป็น

      c equals f lambda
แต่หากแสงเดินทางผ่านตัวกลางอื่นที่ไม่ใช่สุญญากาศ อัตราเร็วของแสงจะมีค่าเป็น

      v equals c over n

โดย c คืออัตราเร็วของแสงในสุญญากาศ
      n คือดัชนีหักเหของแสง

ในการคำนวนการสะท้อนและหักเหนั้นเราสามารถประมาณการเคลื่อนที่ของแสง ว่าแสงเดินทางเป็นเส้นตรงมาจากแหล่งกำเนิด เพื่อง่ายต่อการคำนวน โดยภาพแสดงการสะท้อนของแสงเป็นดังนี้

จากภาพด้านบนเป็นการแสดงการเดินทางของแสงผ่านตัวกลางที่มีตัวกลางแตกต่างกัน (โดยในภาพจะเป็นการเดินทางของแสงจากอากาศมายังตัวกลางที่สองที่เป็นน้ำ)

  • จากแผนภาพด้านขวาจะเห็นได้ว่าแสงตกกระทบ (incident ray) เดินทางมาจากตัวกลางที่เป็นอากาศ เมื่อแสงเดินทางผ่านมากระทบกับน้ำจะเกิดมุมตกกระทบขึ้นเป็นมุม theta subscript 1กับแกนที่ลากตั้งฉากกับผิวของรอยต่อของที่สองตัวกลาง (normal axis) แสงจะเกิดการแยกออกเป็นสองส่วน
    • ส่วนแรกคือ แสงสะท้อน โดยแสงสะท้อน (reflected ray) จะทำมุม theta apostrophe subscript 1 กับแกนตั้งฉาก
    • ส่วนที่สอง  คือ แสงหักเห (refracted ray) ซึ่งจะเคลื่อนที่ไปยังอีกตัวกลางหนึ่งโดยแสงหักเหนี้ทำมุม theta subscript 2 กับแกนตั้งฉาก
กฏของการสะท้อน (Law of reflection) :
มุมตกกระทบเท่ากับมุมสะท้อน theta apostrophe subscript 1 equals theta subscript 1
กฏของการหักเห (Law of refraction) :
มุมตกกระทบtheta subscript 1และมุมหักเห theta subscript 2มีความสัมพันธ์กันตามสมการที่เรียกว่า กฏของสเนลล์ (Snell’s law)

         n subscript 1 sin theta subscript 1 equals n subscript 2 sin theta subscript 2
หรือ
       fraction numerator sin theta subscript 1 over denominator sin theta subscript 2 end fraction equals n subscript 2 over n subscript 1 equals v subscript 1 over v subscript 2 equals lambda subscript 1 over lambda subscript 2

โดยที่
n subscript 1และ n subscript 2 นั้นเรียกว่า ดัชนีหักเห (index of refraction)
- ค่าดัชนีหักเหในสุญญากาศนั้นมีค่าเท่ากับ 1
- ค่าดัชหักเหในอากาศมีค่าใกล้เคียงกับ 1 จึงสามรถ
   ใช้ 1 ในการคำนวณได้
- ค่าดัชนีหักเหในน้ำมีค่าประมาณ 1.3

การหักเหสามารถเกิดขึ้นได้
ใน 3 ลักษณะดังนี้

  1. หากค่าดัชนีหักเหของทั้งสองตัวกลางมีค่าเท่ากัน (ตัวกลางเป็นตัวกลางชนิดเดียวกัน) มุมตกกระทบกับมุมหักเหจะมีค่าเท่ากัน theta subscript 1 equals theta subscript 2 หมายความว่าเมื่อแสงเดินทางผ่านตัวกลางเป็นเส้นตรง จะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงทิศทางขึ้นในกรณีนี้
  2. หากดัชนีหักเห n subscript 2 มีค่ามากกว่าดัชนีหักเห n subscript 1 มุมหักเหจะมีค่าน้อยกว่ามุมตกกระทบ theta subscript 2 less than theta subscript 1
  3. หากดัชนีหักเห n subscript 2 มีค่าน้อยกว่าดัชนีหักเห n subscript 1 มุมหักเหจะมีค่ามากกว่ามุมตกกระทบ theta subscript 2 greater than theta subscript 1

โดยการหักเหทั้ง 3 แบบนั้นสามารถสรุปเป็นภาพได้ดังนี้

มุมวิกฤตและการสะท้อนกลับหมด

เมื่อแสงเดินทางจากตัวกลางที่มีค่าดัชนีหักเหมาก (เช่น น้ำ) ไปยังตัวกลางที่มีค่าดัชนีหักเหน้อยกว่า (เช่น อากาศ) แสงหักเหจะเดินทางเบี่ยงออกจากเส้นปกติ (normal line) ในกรณีที่มุมหักเห theta subscript 2 มีค่าเท่ากับ
90 องศา รังสีหักเหจะขนานกับผิวรอยต่อ
มุมตกกระทบดังหล่าวนี้จะเรียกว่า มุมวิกฤต (critical angle)
จากกฏของสเนล

     n subscript 1 s i n theta subscript 1 equals n subscript 2 s i n theta subscript 2

สามารถเขียนสมการใหม่ได้เป็น

    n subscript 1 s i n theta subscript 1 equals n subscript 2 s i n 90 degreeซึ่ง sin 90 degree equals 1

เพราะฉะนั้นเราสามารถเขียน theta subscript 1 ใหม่ได้เป็น theta subscript c
ซึ่งจะเรียกมุมตรงนี้ว่า มุมวิกฤต โดยสามารถเขียน
สมการของมุมวิกฤตได้เป็น

      theta subscript c equals s i n to the power of negative 1 end exponent n subscript 2 over n subscript 1
หากในกรณีที่รังสีตกกระทบทำมุมมากกว่ามุมวิกฤต theta subscript 1 greater than theta subscript c แสงจะเกิดการสะท้อนกลับหมดเราสามารถใช้ประโยชน์ของการสะท้อนกลับหมดได้ในการส่งสัญญาณด้วยแสงผ่านไปทางใยแก้วนำแสง (fiber optic) ได้ตามภาพ
ภาพแสดงการส่งสัญญาณด้วยแสงผ่านใยแก้วนำแสงเช่น สายส่งสัญญาณอินเตอร์เนตความเร็วสูง


โพลาไรซ์เซชันของการสะท้อนและ
มุมบริวส์เตอร์ (Polarization by reflection and Brewster angle)

แสงเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ประกอบไปด้วยสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้าสั่นในระนาบที่ตั้งฉากกัน ระนาบการสั่นของสนามไฟฟ้านี้เป็นตัวกำหนดทิศทางของโพลาไรซ์เซชัน (polarization)

ตัวอย่างของแสงที่ไม่โพลาไรซ์ เช่นแสงที่มาจากแสงอาทิตย์ ซึ่งเราสามารถแยกองค์ประกอบของโพลาไรซ์เซชันได้เป็นสององค์ประกอบคือ

  • ส่วนแรกคือ แสงที่มีทิศทางตั้งฉากกับกระดาษนี้ซึ่งแสดงสัญลักษณ์ด้วยลูกศรที่มีหัวทั้งสองด้าน (component parallel to page)
  • ส่วนที่สองคือแสงที่มีทิศทางขนาดกับกระดาษนี้ซึ่งแทนด้วยสัญลักษณ์ จุดสีส้ม (component perpendicular to page) ตามภาพด้านล่าง

จากภาพจะเห็นได้ว่า เมื่อแสงตกกระทบที่ไม่โพลาไรซ์ (incident unpolarized ray) เดินทางจากอากาศมากระทบกับพื้นผิวแก้ว ซึ่งมุมตกกระทบมุมนี้ open parentheses theta subscript B close parentheses ทำให้เกิดแสงที่แยกเป็นสองเส้นคือ
  • รังสีสะท้อน (reflected ray) โดยรังสีสะท้อนนี้จะมีองค์ประกอบเดียวคือองค์ประกอบของแสงที่มีทิศทางตั้งฉากกับหน้ากระดาษหรือเรียกแสงชนิดนี้ว่าแสงโพลาไรซ์ (polarized ray)
  • รังสีหักเห (refracted ray) โดยรังสีหักเหนี้จะมีคุณสมบัติเป็นแสงไม่โพลาไรซ์ (unpolarized ray) เหมือนกับแสงตกกระทบ

เราจะเรียกมุมตกกระทบดังกล่าวที่ทำให้รังสีสะท้อนเป็นแสงโพลาไรซ์มุมบริวส์เตอร์ (Brewster angle) theta subscript B
โดยสามารถเขียนสมการแสดงเงื่อนไขของมุมบริวส์เตอร์และมุมหักเหได้เป็น

       theta subscript B plus theta subscript r equals 90 degree

จากสมการจะเห็นได้ว่าผลบวกของมุมบริวส์เตอร์กับมุมหักเหคือ 90 องศา

จากกฏของสเนลล์

    n subscript 1 s i n theta subscript 1 equals n subscript 2 s i n theta subscript 2

ทำการเปลี่ยน theta subscript 1 เป็น theta subscript B และเปลี่ยน theta subscript 2 เป็น theta subscript r

    n subscript 1 s i n theta subscript B equals n subscript 2 s i n theta subscript r
n subscript 1 s i n theta subscript B equals n subscript 2 s i n left parenthesis 90 minus theta subscript B right parenthesis
n subscript 1 s i n theta subscript B equals n subscript 2 c o s theta subscript B

สุดท้ายจะได้สูตรในการคำนวนมุมบริวส์เตอร์ออกมาเป็น

    theta subscript B equals t a n to the power of negative 1 end exponent n subscript 2 over n subscript 1

ความลึกปรากฏ (Apparent Depth)

เมื่อแสงเคลื่อนที่จากตัวกลางหนึ่งไปยังตัวกลางหนึ่งจะเกิดการหักเหที่รอบต่อของตัวกลางทั้งสอง ถ้าวัตถุและผู้สังเกตอยู่ในตัวกลางต่างชนิดกัน ซึ่งมีค่าดัชนีหักเหต่างกัน ผลก็คือเมื่อมีแสงออกจากวัตถุมาตกกระทบที่รอยต่อของตัวกลางแสงจะเกิดการหัหเหมาเข้าตาผู้สังเกต ทำให้ผู้สังเกตเห็นวัตถุอยู่ตื้นหรือลึกกว่าที่เป็นจริง เราเรียกปรากฏการณ์ ความลึกปรากฏ 
กำหนดให้ วัตถุในตัวกลาง (1) มีค่าดัชนีหักเห n1 ผู้สังเกตอยู่ในตัวกลาง (2) มีดัชนีหักเห n2 
วัตถุอยู่ห่างจากผิวรอยต่อของตัวกลาง S เรียก ระยะวัตถุจริง 
ภาพที่อยู่ห่างจากผิวรอยต่อของตัวกลาง S' เรียก ระยะปรากฏ

เมื่อ n subscript 1 greater than n subscript 2 ผลก็คือ theta subscript 1 greater than theta subscript 2 ผู้สังเกตจะเห็นวัตถุอยู่ตื้นกว่าความเป็นจริง 
ได้ว่า 
S apostrophe equals S cross times fraction numerator t a n theta subscript 2 over denominator tan theta subscript 1 end fraction
เมื่อผู้สังเกตมองวัตถุในแนวดิ่ง หรือตั้งฉากกับผิวรอยต่อของตัวกลาง จะได้ว่า
S apostrophe equals S cross times n subscript 2 over n subscript 1