เนื้อเยื่อพื้นฐานของพืช

ยอดวิว 0

แบบฝึกหัด

EASY

เนื้อเยื่อพื้นฐานของพืช (ชุดที่ 1)

HARD

เนื้อเยื่อพื้นฐานของพืช (ชุดที่ 2)

เนื้อหา

เนื้อเยื่อพื้นฐานของพืช

เนื้อเยื่อ (tissue) เป็นกลุ่มเซลล์ที่มีลักษณะรูปร่างเหมือนกัน อยู่รวมกันเพื่อทำหน้าที่เฉพาะอย่าง เนื้อเยื่อพื้นฐานพืชแบ่งได้เป็นสองกลุ่มตามความสามารถในการแบ่งเซลล์ คือ

  1. เนื้อเยื่อเจริญ (Meristematic tissue)
    คือเนื้อเยื่อที่มีผนังเซลล์บาง มีนิวเคลียสขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับเซลล์อื่น มีความสามารถในการแบ่งเซลล์แบบ Mitosis ไปตลอดชีวิต
  2. เนื้อเยื่อถาวร (Permanent tissue) คือเนื้อเยื่อที่มีการเจริญเต็มที่แล้วมีการทำหน้าที่ต่าง ๆ ในเซลล์พืชแตกต่างกันไป

เนื้อเยื่อเจริญแบ่งได้เป็น

จำแนกตามตำแหน่งในส่วนต่างๆของพืช 

  1. เนื้อเยื่อเจริญส่วนปลาย (apical meristem) ได้แก่ บริวเณปลายยอด (shoot apex) และราก (root apex) คือเนื้อเยื่อเจริญกลุ่มแรกสุดที่เจริญขึ้นมาในพืชดอก โดยจะพัฒนาต่อไปเป็นเนื้อเยื่อเจริญปฐมภูมิ (Primary meristem) ทำให้มีความยาวและสูงขึ้น

    2. เนื้อเยื่อเจริญด้านข้าง (Lateral meristem) 
    เป็นเนื้อเยื่อเจริญที่พบในพืชใบเลี้ยงคู่ส่วนใหญ่ และใบเลี้ยงเดี่ยวบางชนิด มีหน้าที่ในการสร้าง Secondary phloem และ Secondary xylem
    รวมไปถึงการสร้างเนื้อเยื่อ Cork ทำให้โครงสร้างของพืชขยายขนาด (อ้วนขึ้น)

    3. เนื้อเยื่อเจริญระหว่างข้อ (Intercalary meristem) พบเฉพาะในพืชใบเลี้ยงเดี่ยวพบบริเวณเหนือข้อช่วยยืดความยาวของปล้องให้ยาวขึ้น
    เช่นในต้นไผ่ ต้นหญ้า

    การแบ่งประเภทของเนื้อเยื่อพืช จำแนกตามระยะการเจริญแบ่งเป็น 3 ชนิด คือ

    1. Promeristem เป็นเนื้อเยื่อเจริยที่เกิดขึ้นใหม่ๆจากการแบ่งตัว เซลล์ที่มีรูปร่างและขนาดใกล้เคียงกันมากจะอยู่ที่บริเวณปลายยอกหรือปลายราก
    2. Primary meristem เป็นเนื้อเยื่อที่เปลี่ยนแปลงมาจาก promeristem เป็นบริเวณที่เซลล์ยืดตัว (region of cell elongation)
      1. Protoerm สร้างเนืื้อเยื่อชั้นผิวจะเจริญต่อไปเป็น Epidermis
      2. Procambium สร้างเนื้อเยื่อลำำเลียงชุดแรก ซึ่งจะเจริญต่อไปเป็น Primary phloem, Vascular cambium, และ Primary xylem
      3. Ground meristem จะเจริญต่อไปเป็น Ground tissue
    3. secondary meristem เปลี่ยนแปลงมาจาก primary meristem และเนื้อเยื่อถาวรขั้นแรกบางชนิดสร้างเนื้อเยื่อถาวรขั้นที่สอง พบในพืชใบเลี้ยงคู่ ได้แก่
      1. vascular cambium สร้างเนื้อเยื่อลำเลียงชุดที่สอง
      2. cork cambium เกิดจากการแปรสภาพของ parenchyma (เนื้อเยื่อพิเศษสามารถแปรสภาพเป็นเนื้อเยื่อเจริญได้ตลอดเวลา) กลับไปเป็นเนื้อเยื่อเจริญในบริเวณคอร์เทกซ์

    เนื้อเยื่อถาวร (Permanent tissue) 

    เป็นเนื้อเยื่อที่เจริญเต็มที่แล้ว มีรูปร่างคงที่ ทำหน้าที่ต่าง ๆ แบ่งได้หลายชนิดหากจำแนกตามชนิดของกลุ่มเซลล์จะแบ่งได้ 2 กลุ่มคือ เนื้อเยื่อถาวรเชิงเดี่ยว และ เนื้อเยื่อถาวรเชิงซ้อน

    เนื้อเยื่อถาวรเชิงเดี่ยว ประกอบด้วยกลุ่มเซลล์ชนิดเดียว ทำหน้าที่เดียวกัน ได้แก่

    1. เนื้อเยื่อผิว (Epidermis) ประกอบขึ้นจากเซลล์หลายชนิด เช่น Epidermal cell เซลล์คุม (Guard cell, เซลล์ข้างเซลล์คุม (Subsidary cell) และ ขน (Trichrome) บทบาทหลักในการปกป้องเนื้อเยื่อภายในของพืช ในชั้นนี้ของลำต้นและใบจะมีสาร Cutin เคลือบอยู่เพื่อป้องกันการเสียน้ำ การแลกเปลี่ยนแก๊ส คายน้ำ และรักษาอุณหภูมิในต้นพืช จะอาศัยโครงสร้างของปากใบ (Stoma) เซลล์ขน (trichomes) จะมีหน้าที่หลายอย่างเช่น ช่วยควบคุมอุณหภูมิ ป้องกันสัตว์กินพืช พัฒนาโครงสร้างไปเป็นต่อมต่าง ๆ บนผิวของพืช
    2. เนื้อเยื่อพาเรนไคมา (Parenchyma) เป็นระบบเนื้อเยื่อพื้นที่พบมากสุดในต้นพืช ส่วนใหญ่มีรูปร่างกลม หรือ รูปร่างหลายเหลี่ยม แต่ส่วนใหญ่มีผนังบาง เมื่อเซลล์เรียงตัวกันไม่แน่นจะมีช่องว่างระหว่างเซลล์ เรียกว่า Intercellular space หน้าที่ของ Parenchyma เช่น สะสมอาหารจำพวกแป้ง พบได้ในชั้น Cortex โดยเฉพาะในราก ถ้าเซลล์ Parenchyma มี Chloroplast มากจะเรียกว่า Chlorenchyma สามารถช่วยในการสังเคราะห์ด้วยแสงได้ เช่น ในชั้น Mesophyll ในใบของพืช สำหรับพื้ชในน้ำบางชนิด เซลล์ Parenchyma จะมีการเรียงตัวให้มีช่องอากาศภายในเซลล์ช่วยในการลอยตัว เรียกว่า Aerenchyma เช่นในลำต้นของต้นแว่นแก้ว หรือ ต้นพุทธรักษา
    3. เนื้อเยื่อคอลเลนไคมา (Collenchyma) ประกอบจากเซลล์ Collenchyma ที่มีผนังเซลล์ปฐมภูมิหนาไม่สม่ำเสมอทั้งเซลล์ แต่จะหนาบริเวณมุม เพื่อเสริมความแข็งแรงให้กับโครงสร้าง เซลล์กลุ่มนี้จะมีเพคตินพอกสะสมอย่างไม่สม่ำเสมอกัน พบตามโครงสร้างต้นอ่อน ก้านใบ เส้นกลางใบ หรือลำต้นของพืชล้มลุกหรือไม้เลื้อยบางชนิด
    4. เนื้อเยื่อสเคอเรนไคมา (Sclerchyma) เป็นเนื้อเยื่อที่มีผนังเซลล์ทุติยภูมิหนา มีการสะสมของลิกนินและเซลลูโลส ทำหน้าที่หลักในการเสริมความแข็งแรงให้กับพืช  เซลล์ Sclenchyma เมื่อเจริญเต็มที่แล้วจะไม่มีชีวิต เซลล์มีรูปร่างสองชนิดคือ Scleried cell ซึ่งจะมีรูปร่างเป็นก้อน มีแฉก พบในเนื้อไม้หรือผลไม้ที่มีเนื้อสาก เช่น สาลี ฝรั่ง เป็นต้น อีกชนิดหนึ่งคือ Fiber cell จะมีโครงสร้างเรียวยาว ปลายเซลล์แหลม มักพบแทรกตามแนวท่อลำเลียงของพืชหรือพบเป็นกลุ่มในพืชบางชนิด 

    เนื้อเยื่อถาวรเชิงซ้อน ประกอบด้วยเซลล์หลายประเภทมาอยู่ด้วยกันและทำงานร่วมกัน ได้แก่

    1. เนื้อเยื่อลำเลียงน้ำ (Xylem) คือกลุ่มของเนื้อเยื่อพืชที่ช่วยในการลำเลียงน้ำและแร่ธาตุจากรากไปสู่ยอดของพืช ประกอบด้วยเซลล์ 4 กลุ่มคือ Xylem parenchyma, Xylem fiber, Tracheary element และ secretory อื่นๆ ทำหน้าที่หลักในการลำเลียงน้ำ และเป็นเนื้อเยื่อที่เจริญเต็มที่แล้วไม่มีชีวิต การลำเลียงน้ำจะเกิดที่เนื้อเยื่อ Vessel member มากกว่า และเกิดใน Trachied ได้บ้าง เนื่องจาก Vessel member จะมีลักษณะเป็นท่อใหญ่กลวงทะลุหัวท้ายเป็นรูชื่อว่า Perforation ติดเรียงต่อกัน ท่อนี้มีการสะสมลิกนินไม่มากทำให้เกิดเป็นลวดลายต่าง ๆ ในขณะที่เซลล์ Xylem parenchyma จะมีหน้าที่หลักในการลำเลียงน้ำในแนวรัศมี และ Xylem fiber จะมีความสำคัญในการเสริมความแข็งแรง
    2. เนื้อเยื่อลำเลียงอาหาร (Phloem) เนื้อเยื่อกลุ่มนี้ทำหน้าที่ในการลำเลียงอาหารของพืช (น้ำตาลซูโคลส) เนื้อเยื่อกลุ่มนี้ประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 4 กลุ่มหลัก ๆ คือ
      1. Sieve element ฺฺเซลล์ลำเลียงอาหาร 
        1. sieve cells พบในพืชพวกจิมโนสเปิร์มและพืชชั้นต่ำ มี sieve area ที่ผนังด้านข้างจะมีรู ไม่มี sieve plate ที่ปลายเซลล์ 
        2. sieve tube member พบในพืชมีดอก จะเป็นเซลล์ที่มีชีวิตแต่ Organelle ภายในจะลดรูปไป เหลือเพียง Vacuole ขนาดใหญ่เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการลำเลียงอาหาร เซลล์มีรูปทรงกระบอก หัวท้ายมีโครงสร้างเป็นตะแกรง เรียกว่า Sieve plate ให้สารอาหารโมเลกุลใหญ่เช่น ซูโครส กรดอะมิโน สามารถผ่านได้ 
        3. Companion cell เป็นการเปลี่ยนแปลงเซลล์ Parenchyma มาทำหน้าที่ช่วยเหลือการลำเลียงสารอาหารผ่านทางช่อง Plasmodesmata
      2. Phloem parenchyma ทำหน้าที่ลำเลียงสารอาหารในแนวรัศมี
      3. Phloem fiber ทำหน้าที่เสริมความแข็งแรงให้กับโครงสร้างท่อลำเลียงและช่วยสะสมแป้งบางส่วน
      4. อาจมี secretory cells ชนิดต่างๆ เช่น laticifers, tannin, resin, crystal